บทความล่าสุด

ลูกกัดฟัน อันตรายกว่าที่คิด

การดูแลสุขภาพปากและฟันของลูกเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตประจำวัน แต่บางครั้งเด็กก็อาจมีนิสัยกัดฟัน ซึ่งถ้าไม่ได้รับการแก้ไขทันทีอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพปากและฟันในอนาคต

วิธีช่วยให้ลูกเลิกกัดฟันได้แก่การให้เครื่องดูดนิ้วมือ หรือเครื่องดูดนิ้วแทนการกัดฟัน นอกจากนี้ยังสามารถให้ลูกทายายกัดฟัน หรือใช้ทางเลือกอื่นๆ เช่น ให้ลูกเล่นเล่นกับของเล่นที่เหมาะสม หรือให้ลูกฝึกการหายใจผ่านจมูก เพื่อลดความกัดฟัน รวมทั้งวิธีรักษาลูกกัดฟัน

นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพปากและฟันของลูกก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะฟันเด็กเป็นฟันชั่วคราว และการดูแลไม่ดีอาจส่งผลให้เกิดโรคฟันผุ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่บนฟัน สามารถป้องกันได้โดยการให้ลูกแปรงฟันสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงอาหารหวาน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง

นอกจากนี้ การพบกับทันตแพทย์เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพปากและฟันของลูก และรักษาโรคฟันผุให้เร็วที่สุด โดยทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพปากและฟันของลูก และสามารถรับรู้ปัญหาเกี่ยวกับการกัดฟันของลูกได้

ในสรุป การดูแลสุขภาพปากและฟันของลูกเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และการดูแลไม่ดีอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพปากและฟันในอนาคต ดังนั้นผู้ปกครองควรสอนลูกให้รู้จักดูแลสุขภาพปากและฟันอย่างถูกวิธี และให้คำแนะนำในการช่วยให้ลูกเลิกกัดฟันได้ และนำลูกไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพปากและฟันอย่างสม่ำเสมอ

การกัดฟันเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในเด็กๆ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพปากและฟันได้ ดังนั้น การช่วยให้ลูกเลิกกัดฟันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับผู้ปกครอง

วิธีการช่วยให้ลูกเลิกกัดฟันมีดังนี้

  1. สังเกตพฤติกรรมของลูก – หากพบว่าลูกมีการกัดฟันบ่อยๆ ให้สังเกตและบอกให้ลูกเลิกทันที เพราะการกัดฟันเป็นการกระทำที่ไม่ดีต่อฟันและเหงือก
  1. ให้ลูกสวมเครื่องใช้ป้องกันการกัดฟัน – มีเครื่องใช้ป้องกันการกัดฟันที่ออกมาให้ใช้บ่อยๆ เช่น แผ่นป้องกันฟัน หรือชุดเครื่องใช้ฟัน
  1. สร้างกิจกรรมที่เหมาะสม – การสร้างกิจกรรมที่เหมาะสมสำหรับลูก เช่น เล่นกีฬา หรือเล่นเกมส์ จะช่วยลดความเครียดและความวุ่นวายในเด็ก
  1. สอนลูกวิธีการควบคุมอารมณ์ – การควบคุมอารมณ์จะช่วยลดความเครียดในเด็ก และทำให้ลูกไม่ต้องกัดฟันเพื่อหลีกเลี่ยงความเครียด
  1. พูดคุยกับทันตแพทย์ – หากลูกยังไม่เลิกกัดฟัน ให้พูดคุยกับทันตแพทย์เพื่อให้คำแนะนำในการดูแลฟันและป้องกันการกัดฟัน

การดูแลฟันและป้องกันการกัดฟันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะในเด็ก ผู้ปกครองควรสังเกตพฤติกรรมของลูกและดูแลสุขภาพปากและฟันของลูกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ลูกมีฟันและปากที่แข็งแรง และสวยงามตลอดไป

คุณหมอ WR

9 โรคติดต่อในเด็ก

โรคติดต่อในเด็กหรือที่เรียกว่าโรคติดเชื้อเป็นโรคที่สามารถแพร่กระจายจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งผ่านการสัมผัสโดยตรงหรือโดยอ้อม โรคเหล่านี้อาจเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือปรสิต ตัวอย่างของโรคติดต่อ ได้แก่ โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด วัณโรค โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) เช่น หนองในเทียมและหนองในเทียม และโรคที่เกิดจากอาหาร เช่น ซัลโมเนลลา โรคติดต่อสามารถติดต่อผ่านทางละอองอากาศ พื้นผิวที่ปนเปื้อน การสัมผัสทางเพศ หรือโดยการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดี รับวัคซีน และเข้ารับการรักษาทางการแพทย์หากจำเป็น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคเหล่านี้

โรคติดต่ออาจสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ปกครอง โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นกับบุตรหลาน เด็กมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ทำให้พวกเขาไวต่อการติดเชื้อและการเจ็บป่วย มีโรคติดต่อมากมายที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก และโรคที่พบบ่อย ได้แก่

อีสุกอีใส (Varicella)

โรคอีสุกอีใส

โรคอีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่เกิดจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ โดยทั่วไปจะแพร่กระจายทางอากาศโดยการไอหรือจาม หรือผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวจากตุ่มอีสุกอีใส อาการของโรคอีสุกอีใสประกอบด้วย มีไข้ อ่อนเพลีย และมีผื่นขึ้นจนเป็นตุ่มคัน

โรคหัด

โรคหัด

โรคหัดเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสหัด มันแพร่กระจายทางอากาศเมื่อผู้ติดเชื้อหายใจ ไอ หรือจาม อาการของโรคหัด ได้แก่ มีไข้สูง น้ำมูกไหล ไอ และมีผื่นกระจายทั่วตัว

โรคคางทูม

คางทูมเป็นโรคไวรัสที่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับน้ำลายหรือเสมหะจากผู้ติดเชื้อ ส่วนใหญ่มีผลต่อต่อมน้ำลายและทำให้เกิดอาการบวม ปวด และกดเจ็บ อาการอื่นๆ ของโรคคางทูม ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และเบื่ออาหาร

โรคหัดเยอรมัน (German Measles)

โรคหัดเยอรมัน

โรคหัดเยอรมัน (Rubella) หรือที่รู้จักในชื่อ โรคหัดเยอรมัน เป็นโรคไวรัสที่แพร่กระจายทางอากาศเมื่อผู้ติดเชื้อหายใจ ไอ หรือจาม มีลักษณะเป็นผื่นที่กระจายไปทั่วร่างกายพร้อมกับมีไข้เล็กน้อยและต่อมน้ำเหลืองบวม

โรคฟิฟธ์  (Erythema Infectiosum)

โรคฟิฟธ์

โรคฟิฟธ์เป็นโรคไวรัสที่เกิดจากพาร์โวไวรัสบี19 มันแพร่กระจายทางอากาศหรือผ่านการสัมผัสโดยตรงกับน้ำลาย น้ำมูก หรือเลือดของผู้ติดเชื้อ อาการของโรคที่ห้า ได้แก่ ผื่นบนใบหน้าที่ดูเหมือน “โดนตบแก้ม” ร่วมกับมีไข้เล็กน้อยและปวดเมื่อยตามร่างกาย

โรคมือ เท้า ปาก (HFMD)

โรคมือ-เท้า-ปาก

โรคมือ เท้า ปาก (HFMD) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มักเกิดจากไวรัสคอกซากี มันแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับน้ำลาย น้ำมูก หรือตุ่มน้ำของผู้ติดเชื้อ อาการของโรคมือเท้าปาก ได้แก่ ผื่นหรือตุ่มน้ำที่มือ เท้า และในปาก พร้อมกับมีไข้เล็กน้อย

ไข้หวัดใหญ่ (Flu)

ไข้หวัดใหญ่ หรือที่เรียกว่า ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ มันแพร่กระจายทางอากาศเมื่อผู้ติดเชื้อหายใจ ไอ หรือจาม อาการของไข้หวัด ได้แก่ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย และไอ

คออักเสบจากสเตรปโตค็อกคัส (Strep Throat)

โรคคออักเสบจากสเตรปโตค็อกคัส

คออักเสบคือการติดเชื้อแบคทีเรียที่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ติดเชื้อ ทำให้เกิดอาการเจ็บคอพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ และต่อมน้ำเหลืองบวม

ไวรัส RSV

โรคไวรัส-RSV

Respiratory Syncytial Virus (RSV) เป็นไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายและส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจเป็นหลัก มันแพร่กระจายทางอากาศเมื่อผู้ติดเชื้อหายใจ ไอ หรือจาม RSV เป็นสาเหตุทั่วไปของการเจ็บป่วยทางเดินหายใจในทารกและเด็กเล็ก และอาจนำไปสู่อาการรุนแรง เช่น หายใจมีเสียงหวีด หายใจเร็ว และไอต่อเนื่อง ในกรณีที่รุนแรง RSV อาจนำไปสู่โรคปอดบวมและหลอดลมฝอยอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับเด็กเล็ก

การดูแลเด็กเป็นสิ่งสำคัญ ขอให้พ่อแม่นึกถึงสุขภาพเด็กเป็นสิ่งสำคัญครับ

เรื่องน่ารู้ ส่วนสูงของลูก

ส่วนสูงของลูก พัฒนาการหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจเป็นพิเศษ และมักกังวลเสมอว่าลูกของเราตัวเล็กกว่าเพื่อนหรือไม่ สูงตามเกณฑ์ของเด็กหรือไม่ วันนี้เรามาดูกันค่ะว่าลูกเราสูงตามเกณฑ์หรือตัวเล็กไปไหมค่ะ

ปัจจัยที่ส่งผลกับส่วนสูงของลูก

สิ่งแรกเราต้องทราบกันก่อนค่ะ ว่าปัจจัยที่ส่งผลกับความสูงของลูกนั้นเกิดจากอะไรบ้าง

พันธุกรรม สิ่งที่ส่งผลต่อความสูงของเด็ก 80% 

ภาวะโภชนาการ ฮอร์โมน กิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกาย โรคหรือการเจ็บป่วย 20% 

เกณฑ์เฉลี่ยความสูงของเด็ก

แรกเกิด – 1 ปี ตัวยาวเฉลี่ย 50 เซนติเมตร

1 – 2 ปี ยาวเฉลี่ย 75 เซนติเมตร

2 – 3 ปี ความสูงเฉลี่ย 87 เซนติเมตร

3 – 4 ปี ความสูงเฉลี่ย 95 เซนติเมตร

4 – 5 ปี ความสูงเฉลี่ย 100 เซนติเมตร

หลังจากนั้นเด็กจะสูงเพิ่มขึ้น เฉลี่ยปีละ 5 เซนติเมตร จนกว่าจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น

กราฟมาตรฐานการเจริญเติบโตของเด็ก

การคำนวณพ่อแม่สูงเท่านี้ ลูกจะสูงเท่าไหน

ลูกสาว ความสูงของพ่อ + ความสูงของแม่ -13 แล้วหาร 2 บวกลบ 5 = ค่าความสูงของลูกสาว (ความสูงของพ่อ + ความสูงของแม่ – 13) ÷ 2

ลูกชาย ความสูงของพ่อ + ความสูงของแม่ และ +13 แล้วหาร 2 บวกลบ 5 = ค่าความสูงของลูกชาย (ความสูงของพ่อ + ความสูงของแม่ + 13) ÷ 2

เคล็ดลับเพิ่มความสูงให้ลูก

การเลี้ยงลูกให้มีการเจริญเติบโตที่ดีเหมาะสมกับช่วงวัย คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้โดย

  • การรับประทานอาหารให้สมดุล รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และไขมัน เน้นการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ชีส โยเกิร์ต ไข่ นม ผลิตภัณฑ์จากนม ควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว แนะนำให้เป็นนมจืดจะดีที่สุดค่ะ เนื่องจากการดื่มนมที่มีรสหวานมากๆ อาจทำให้ลูกของคุณเป็นโรคอ้วนหรือเบาหวานในเด็กได้ค่ะ ผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม สัตว์ที่กินได้ทั้งกระดูก เช่น กุ้งแห้ง ปลาเล็ก และอาหารที่มีแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมได้ดีค่ะ เช่น ธัญพืช เมล็ดฟักทอง ปลาแมคเคอเรล เป็นต้น
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมง เนื่องจากการนอนหลับจะทำให้โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) หลั่งออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ช่วยกระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกายค่ะ
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการเล่นที่ช่วยให้กระดูกช่วงปลายข้อยืดหยุ่น เช่น การเล่นบาสเก็ตบอล การกระโดดเชือก การกระโดดหนังยาง เป็นต้น

หากคุณพ่อคุณแม่มีข้อสงสัยพัฒนาการทางด้านการเจริญเติบโตหรือส่วนสูงของลูก สามารถพาลูกเข้ารับการตรวจและปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญได้นะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ลูกปัสสาวะมีกลิ่นแรง ผิดปกติหรือไม่

การดูแลลูกน้อยไม่ใช่เรื่องง่ายซึ่งอาจเป็นเรื่องยากและเป็นเรื่องท้าทายสำหรับคุณพ่อคุณแม่หลายๆท่าน โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ซึ่งมักกังวลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพเล็กน้อยหรือสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูกน้อย เช่น สีอุจาระทารก หรือลูกปัสสาวะมีกลิ่นแรงเป็นอีกหนึ่งความผิดปกติที่คุณมักสงสัย ซึ่งจะมีสาเหตุมาจากอะไร บทความนี้จะพาคุณแม่ไปหาคำตอบกันค่ะ

สาเหตุของปัสสาวะมีกลิ่นในทารกคืออะไร

ปัสสาวะของลูกมีกลิ่นฉุนอาจมีสาเหตุหลายประการ ซึ่งสาเหตุของกลิ่นปัสสาวะอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องกังวลเสมอไปค่ะ เช่น

– การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เกิดแบคทีเรียเข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะ ภาวะนี้มักพบในเด็กผุ้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชายเนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคของมนุษย์ค่ะ

– การรับประทานอาหารของคุณแม่ ปัสสาวะที่มีกลิ่นเหม็นในทารกที่กินนมแม่ มักพบว่ามีกลิ่นฉุนได้ในคุณแม่ที่รับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรงได้ค่ะ 

– ปัสสาวะของลูกมีกลิ่นอาจเกิดจากการขาดน้ำหรือเกิดจากอาการเจ็บป่วยของลูกน้อย

ปัสสาวะเหม็นเป็นสัญญาณของการงอกของฟันหรือไม่

คุณพ่อคุณแม่หลายคนคิดว่า การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย หรือปัสสาวะที่มีกลิ่นเหม็นเป็นสัญญาณของการงอกของฟันในทารก แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสิ่งนี้ค่ะ

ควรปรึกษาแพทย์เมื่อใด

ในกรณีที่อาการยังคงมีอยู่หรือแย่ลง หรือพบความผิดปกติร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ทารกมีเลือดในอุจจาระ อาเจียน มีไข้ ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์ทันทีค่ะ เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

กะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกติในทารก

กะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกติ คืออะไร

กะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกติ (Craniosynostosis) เป็นข้อบกพร่องโดยกำเนิดที่กระดูกในกะโหลกศีรษะของทารกรวมเข้าด้วยกัน เกิดขึ้นเมื่อศีรษะของทารกไม่ได้รับการสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่อไปในโครงสร้างของสมอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางการเรียนรู้และการมองเห็นของลูกน้อย

สาเหตุกะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกติ

ความผิดปกตินี้เกิดจากกระดูกที่มาประกอบกันเป็นกะโหลกศีรษะเชื่อมติดกันผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นเพราะปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรม ทำให้ศีรษะผิดรูปและกดรัดสมองไม่ให้ขยายขนาดได้อย่างปกติ ส่งผลให้เกิดความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ โดยแบ่งประเภทของความผิดปกติออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • กลุ่มที่มีการเชื่อมติดของรอยประสานกะโหลกศีรษะหลายตำแหน่ง ร่วมกับความผิดปกติอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย (syndromic craniosynostosis) ทารกในกลุ่มที่มีความผิดปกติประเภทนี้ เกิดจากการเชื่อมติดของกระดูกกะโหลกศีรษะหลายชิ้น ทำให้กะโหลกศีรษะและใบหน้าผิดรูปอย่างรุนแรง เป็นความพิการแต่กำเนิด เช่น แขน ขา มือ เท้า ตา การได้ยิน เป็นต้น และสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ค่ะ
  • กลุ่มที่มีการเชื่อมติดของรอยประสานกะโหลกศีรษะตำแหน่งเดียว (non-syndromic craniosynostosis) ความผิดปกติประเภทนี้ทำให้กะโหลกศีรษะรอบๆ รอยประสานนั้นขยายตัวไม่ได้ ศีรษะมีรูปร่างบิดเบี้ยว เช่น หน้าผากด้านใดด้านหนึ่งยุบ แบนราบ หรือบิดเบี้ยว เป็นต้น

สัญญาณและอาการของ Craniosynostosis

อาการผิดปกติมักพบเมื่อทารกแรกเกิดหรือภายหลังการคลอดไม่กี่เดือนค่ะ โดยพบความผิดปกติต่างๆดังนี้

  • รูปร่างของกะโหลกศีรษะไม่สม่ำเสมอ
  • จุดอ่อนที่ด้านบนของศีรษะหรือที่เรียกกันว่า กระหม่อม ทารกผิดปกติหรือหายไป
  • ศีรษะของทารกจะมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ
  • เบ้าตาอาจแคบลงหรือกว้างขึ้น ทารกอาจมีปัญหาในการเรียนรู้และอาจสูญเสียการมองเห็น

ภาวะแทรกซ้อนภาวะกะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกติ

หากอาการไม่ปรากฏแสดงเมื่อยังเด็กและไม่ได้รับการรักษาตามเวลา อาจมีภาวะแทรกซ้อนหรือส่งผลต่อตัวลูกน้อยได้ เช่น ความผิดปกติของใบหน้า ศีรษะผิดรูปของทารก อาจกลายเป็นแบบถาวร การตอบสนองต่อการพัฒนาล่าช้า ปัญหาสายตา เป็นต้น

Craniosynostosis รักษาอย่างไร

การรักษาภาวะกะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกตินั้น รักษาได้โดยการผ่าตัดเพื่อปรับรูปร่างกะโหลกศีรษะใหม่ โดยที่กระดูกจะถูกนำออกจากบริเวณที่ได้รับผลกระทบของกะโหลกศีรษะเปลี่ยนรูปร่าง เพื่อไม่ให้มีผลต่อสมองใต้รอยประสานที่ผิดปกติ และป้องกันแก้ไขความผิดปกติของศีรษะและใบหน้า ซึ่งอาจต่อได้รับการดูแลรักษาโดยทีมบุคคลากรผู้เชี่ยวชาญอย่างเหมาะสมและต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปีค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง