Category: การเลี้ยงดูลูก

  • ถอดรหัสภาษากายลูกน้อย กำลังบอกอะไร

    ถอดรหัสภาษากายลูกน้อย กำลังบอกอะไร

    การร้องไห้เป็นรูปแบบแรกของการสื่อสารที่ทารกบอกพ่อแม่ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในการถอดรหัสสิ่งที่ลูกน้อยกำลังแสดงออกนั้นในฐานะพ่อแม่โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ การเข้าใจภาษากายของทารกแรกเกิดเป็นเรื่องยาก ดังนั้นการเรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “ภาษากายของลูกน้อย” สามารถช่วยให้คุณรู้จักความรู้สึกและอารมณ์ของลูกขึ้นได้มากขึ้นค่ะ

    ถอดรหัสภาษากายลูกน้อย กำลังบอกอะไร

    การเตะขาในอากาศ

    หากคุณเห็นลูกน้อยของคุณทำเช่นนั้นแสดงว่าเธอตื่นเต้นและมีความสุขมาก โดยมักจะเตะขาในอากาศเมื่อคุณเล่นกับพวกเขา พูดคุยด้วย หรือเมื่ออยู่ในอ่างอาบน้ำ เป็นต้น และการเตะขาในอากาศจะช่วยให้ลูกน้อยของคุณพัฒนากล้ามเนื้อได้ดีค่ะ

    การงอตัว

    เมื่อลูกน้อยของคุณรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายใจเขาจะตอบสนองโดยการงอหลัง โดยส่วนใหญ่เด็กทารกจะงอหลังเมื่อพวกเขามีอาการเสียดท้อง หรือทนทุกข์ทรมานจากความผิดปกติของทางเดินอาหาร เช่น โรคกรดไหลย้อน ฯลฯ และหากทารกทำเช่นนั้นในระหว่างการให้อาหารอาจหมายความว่าอิ่มและไม่ต้องการกินอีกค่ะ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือ พยายามทำให้ลูกสงบลง ซึ่งคุณสามารถเบี่ยงเบนความสนใจได้โดยพาเธอออกไปข้างนอกและแสดงสิ่งที่ลูกของคุณสนใจ เป็นต้น

    การยืดหรือเหยียดแขนออก

    ทารกที่กางมือหรือการเหยียดแขนขาออกเป็นสัญญาณที่ดีค่ะ นั่นหมายความว่าลูกน้อยของคุณมีความสุขและอารมณ์ดี ซึ่งรวมถึงลูกน้อยของคุณกำลังเรียนรู้การทรงตัว แขนที่เหยียดออกจะทำให้ตัวเองสมดุลขณะพยายามนั่งค่ะ

    การกำหมัดแน่น

    การกำหมัดเป็นการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอที่ทารกทำค่ะ เนื่องจากระบบประสาทและสมองของเขายังไม่พัฒนาเพียงพอที่จะเคลื่อนไหวอื่นๆได้ ซึ่งอาจรวมถึงสัญญาณว่าทารกเครียดมากเนื่องจากความหิวได้เช่นกันค่ะ ในกรณีที่คุณเห็นลูกน้อยของคุณทำเช่นนั้นแม้ว่าเขาจะไม่ร้องไห้ก็ตาม การตอบสนองที่ดีที่สุดคือให้ลูกน้อยทานอาหารทันที

    การงอหัวเข่าเข้าหาตัว

    บางครั้งอาจเห็นทารกพับเข่าทั้งสองข้างแล้วนำไปที่ท้อง อาจหมายถึงลูกน้อยของคุณมีปัญหาทางเดินอาหารบางอย่างเช่น ท้องผูก มีแก๊สหรือไม่สบายท้องค่ะ และสิ่งที่คุณแม่สามารถทำได้คือการการตบหลังหรือลูกหลังช้าๆและเบาๆ เพื่อให้ลูกของคุณเรออกมาบรรเทาอาการแน่นท้องค่ะ หากคุณให้นมลูกคุณควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่อาจทำให้เกิดแก๊สในทารก หากลูกน้อยของคุณมีอาการท้องผูกบ่อยๆให้พาไปพบแพทย์ค่ะ

    ลูกชอบดึงหู

    ทารกอยู่ระหว่างการค้นพบส่วนต่างๆของร่างกาย พวกเขาคว้าหูและแสดงความสุขที่ได้ค้นพบ ในทางกลับกันพวกเขาอาจจับและดึงหูเมื่อฟันงอก ในกรณีที่ลูกน้อยของคุณจับหูและร้องไห้เขาอาจเป็นโรคหูอักเสบได้เช่นกันค่ะ

    การขยี้ตา

    ลูกชอบขยี้ตาหรือถูตา มักจะตามมาด้วยการหาวใหญ่และบางครั้งก็ร้องไห้ อาจหมายถึงว่าเธอจะเหนื่อยและต้องการที่จะนอนหลับค่ะ การโยกตัวหรือตบก้นของลูกน้อยเบาๆจะช่วยให้ลูกของคุณหลับได้เร็วขึ้นค่ะ หรือในบางกรณีการขยี้ตาบ่อยๆของลูกน้อยอาจเกิดจาการติดเชื้อได้ค่ะ ดังนั้นควรสังเกตอาการอื่นๆและความผิดปกติของดวงตาลูกน้อยของคุณค่ะ

    การกระแทกหรือตีศีรษะตัวเอง

    การตีศีรษะเป็นเรื่องปกติของเด็กทารก ทารกมักจะเอาหัวกระแทกกับเปลหรือบนพื้นเมื่อรู้สึกหงุดหงิดหรือเจ็บปวด การกระแทกศีรษะช่วยให้ทารกสงบค่ะ หากคุณสังเกตเห็นว่าลูกของคุณกระแทกศีรษะบ่อยครั้งเป็นระยะเวลานานคุณควรไปพบกุมารแพทย์และตรวจลูกของคุณอย่างแน่นอน อย่าเพิกเฉยต่อการกระแทกศีรษะของทารกค่ะ

    การเตะและหายใจอย่างรวดเร็ว

    อาการเตะและหายใจอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับที่ผู้ใหญ่ต้องการทำอะไรบางอย่างเมื่อตื่นเต้นและมีความสุขกับบางสิ่งค่ะ เมื่อเห็นลูกน้อยตื่นเต้นให้พูดคุยกับลูกน้อย เล่นกับลูกและตอบสนองเธอกลับด้วยความกระตือรือร้นที่เท่าเทียมกันค่ะ

    การดูดนิ้ว

    การดูดนิ้วหรือกำปั้นโดยทารกมักตีความได้ว่าทารกกำลังหิวแต่อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปคะ หากลูกน้อยของคุณไม่หิวก็อาจหมายความว่าลูกน้อยของคุณกำลังพยายามปลอบตัวเองก่อนที่จะหลับได้เช่นกันค่ะ

    การทำความเข้าใจภาษากายของลูกน้อยเป็นสิ่งแรกที่คุณควรเรียนรู้ในฐานะพ่อแม่ ไม่เพียง แต่จะช่วยให้คุณเลี้ยงดูเธอได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความผูกพันที่ดีระหว่างคุณกับลูกน้อยของคุณด้วยค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • การเริ่มอาหารมื้อแรกของลูก

    การเริ่มอาหารมื้อแรกของลูก

    อาหารมื้อแรกของลูก ก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ถกเถียงกันมากในกลุ่มของแม่ๆ ทั้งหลาย ซึ่งอันที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายนิดเดียว เนื่องด้วยองค์การอนามัยโลกด้านอาหารสำหรับทารกระบุไว้ว่า เด็กทารกที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือนควรรับประทานเพียงแต่นมเท่านั้น และเมื่อทารกมีอายุตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไปก็ควรรับประทานนมแม่ต่อเนื่องโดยควบคู่กับอาหารที่เหมาะสมตามช่วงวัยไปจนถึงเด็กมีอายุ 2 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งในประเทศไทยรณรงค์ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกตลอดมา

    แต่ปัญหาก็คือ จำเป็นไหมต้อง 6 เดือนขึ้นไปเท่านั้นถึงรับประทานอาหารอย่างอื่นได้ พ่อแม่หลายครอบครัวซีเรียทกับเรื่องนี้เอามากๆ หากลูกยังไม่ครบ 6 เดือน ไม่สามารถกินอาหารอื่นได้นอกจากนม ซึ่งความเป็นจริงแล้วระบบร่างกายของเด็กไม่ได้ถูกกำหนดตายตัวแบบเป๊ะๆ แบบนั้น ซึ่งตามหลักการศึกษาวิจัย คือ อาหารมื้อแรกของลูก เริ่มได้เมื่อพร้อมแต่ไม่ควรให้กินในช่วงที่ลูกมีอายุเพียง 17 สัปดาห์ เนื่องจากระบบย่อยอาหารของเด็กยังไม่พร้อมสำหรับการย่อยอาหารในชนิดอื่นนอกจากนม กล่าวคือหากเด็กยังไม่อายุครบ 4 เดือนขึ้นไปไม่ควรที่จะให้เด็กรับประทานอาหารอื่นนอกจากนม แต่บางครอบครับที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจจะไปป้อนกล้อยหรืออาหารอื่นให้กับลูก ซึ่งอาจจะส่งผลให้เด็กถึงแก่ชีวิตได้จากโรคลำไส้อักเสบอุดตัน

    ในปัจจุบันแพทย์ของประเทศญี่ปุ่น ยุโรป และในอเมริกา แนะนำให้เด็กเริ่มรับประทานอาหารมื้อแรกให้เร็วกว่า 6 เดือน แต่ขึ้นอยู่กับพัฒนาการความพร้อมในการกินของเด็ก ซึ่งสามารถสังเกตุได้ดังนี้

    • สามารถนั่งหลังตรงโดยการประคอง
    • สามารถนั่งบนเก้าอี้เด็กได้
    • มีความสนใจในอาหาร
    • สามารถใช้มือหยิบจับของเข้าปาก

    ถ้าเด็กมีพฤติกรรมแบบนี้จึงเครื่องบ่งชี้แล้วว่าลูกของคุณแม่มีความพร้อมที่สามารถจะรับประทานอาหารมื้อแรกได้แล้ว ซึ่งในเด็กบางคนก็มีอายุเพียง 5 เดือนก็สามารถพร้อมที่จะรับประทานอาหารได้แล้ว แต่เด็กบางคนก็อาจมีความพร้อมช้าอาจจะพร้อมหลังมี 6 เดือนไปสักระยะ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนด หรือเด็กอาจมีโรคประจำตัวอื่นๆ ซึ่งหากคุณแม่ไม่แน่ใจว่าลูกมีความพร้อมจริงหรือไม่คุณแม่สามารถขอคำปรึกษาจากคุณหมอได้ในตอนที่คุณแม่ต้องพาลูกไปรับวัคซีนตามเกณฑ์ได้ค่ะ

    อาหารมื้อแรกของลูกควรเริ่มด้วยอาหารอะไร

    คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจได้ข้อมูลบางอย่างมาเรื่องของการ “เทสต์อาหาร” และ “อาหารกลุ่มเสี่ยง” หรือเรื่องการพยายามหลีกเลี่ยงอาหารบางกลุ่ม โดยให้ลูกเริ่มกินอาหารให้ช้าที่สุด โม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ คือให้เริ่มจากหลัง 7 เดือน และผลไม้รสเปรี้ยว อาหารทะเล แป้งสาลี ชีท ให้เริ่มหลังที่ลูกมีอายุ 1 ขวบ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ผิดไปจากข้อมูลทางแพทย์ปัจจุบัน จากการศึกษาพบว่าสิ่งที่ไม่ควรอยู่ในอาหารเด็กในช่วง 1 ขวบ คือ น้ำผึ้ง เครื่องปรุงต่างๆ เนื้อสัตว์และไข่ที่ไม่สุก และถั่วที่เป็นเม็ด ชีท และปลาฉลาม ปลากระโทง ดังนั้น อาหารมื้อแรกของลูก ไม่ว่าจะเป็นไข่ขาว อาหารทะเล ผัก ผลไม้ แป้ง ขนมปัง ธัญพืชต่างๆ ลูกสามารถรับประทานได้หมด ขอเพียงให้มีการปรุงสุก สะอาด เหมาะสมตามช่วงวัย มีความหลากหลาย และวิธีกินที่เหมาะสม

    คำแนะนำเพิ่มเติม การกินอาหารของลูกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้ คือ ในขณะรับประทานอาหารลูกต้องนั่งหลังตรง คอตรงบนเก้าอื้ ไม่ให้ลูกนอนกิน ไม่ไล่ป้อน และควรกินร่วมการกินในครอบครัว

    สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มอาหารมื้อแรกของลูก

    ก่อนที่คุณแม่จะเริ่มมื้ออาหารแรกให้กับลูก คุณแม่ต้องเตรียมความพร้อม และมีข้อมูลที่ถูกต้องก่อน ซึ่งมีด้วยกัน 9 ข้อ และสิ่งสำคัญ ในช่วง ขวบปีแรก อาหารหลักคือนมแม่ ต้องให้ลูกรับประทานนมที่เพียงพอ

    สังเกตุความพร้อมในการกินของลูก

    อาหารมื้อแรกของลูก ควรเริ่มเมื่อลูกมีความพร้อมที่จะรับประทานอาหารอย่างอื่น ซึ่งวิธีการสังเกตุได้กล่าวไว้ข้างต้น เพราะหากเริ่มอาหารเร็วและลูกยังไม่พร้อม อาจส่งผลทำให้ลูกท้องอืด เพราะระบบย่อยอาหารของลูกยังไม่พร้อมในการย่อยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และกระเพาะอาหารของลูกยังมีความจุน้อย ทำให้อาจทำให้ลูกได้รับนมไม่เพียงพอ

    เริ่มอาหารที่ละอย่าง

    ในช่วงที่ลูกเริ่มทดลองกินอาหารโดยเริ่มจากผักผลไม้ โดยลองครั้งละ 1 อย่างเป็นเวลา 4-5 วันเพื่อดูการแพ้อาหารของลูก ซึ่งข้อดีของการเริ่มอาหารทีละชนิดจะช่วยให้คุณแม่รู้ว่าลูกของคุณแม่แพ้อาหารชนิดใด และส่งเสริมให้ลูกได้เรียนรู้ถึงรสชาติตามธรรมชาติของอาหารแต่ละชนิด เพื่อให้การจัดการที่ง่าย และเป็นระบบคุณแม่ควรทำบันทึกตารางประจำวัน และจดบันทึก ข้อมูลต่างๆ เช่น วัตถุดิบต่างๆ จำนวนมื้อที่ป้อน และบันทึกการแพ้อาหารในแต่ละชนิด

    เริ่มทีละเล็กน้อย

    การเริ่มให้ลูกรับประทานอาหารอื่นนอกจากนม ควรเริ่มให้รับประทานทีละน้อยๆ วันหนึ่ง 1 มื้อ ๆละ 1-2 ช้อนโต๊ะ และตามด้วยนมแม่ให้ลูกอิ่ม แต่หากเห็นว่าลูกยังไม่อิ่ม จึงค่อยเพิ่มปริมาณ ซึ่งจะรู้ได้ไงว่ายังไม่อิ่ม ลูกจะไม่หันหน้าหนี หรือดุนอาหารออกจากปาก ไม่ควรป้อนอาหารลูกมากจนเกินไป เพราะอาหารหลักของลูกในช่วงขวบปีแรกคือ นมแม่

    ควรให้ลูกกินผักก่อนผลไม้

    อาหารที่เริ่มก็คือผัก เพราะจะทำให้ลูกได้คุ้นชินกับรสชาติของผักที่มีรสอ่อนกว่า และมีความหวานน้อยกว่าผลไม้ ไม่เพียงเท่านี้ยังเป็นการฝึกลูกกินผักไปในตัว แต่หากให้ลูกเริ่มกินผลไม้ก่อนผักจะทำให้ลูกติดรสหวานจากผลไม้ ทำให้ลูกปฎิเสธการกินผักได้ ผักที่แนะนำให้ลูกกินในครั้งแรกควรเป็นผักที่นิ่มๆ และมีสีสันที่น่ากิน รสชาติไม่จัด ไม่ขม และมีมีกลิ่นที่ฉุน อย่างเช่น แครอท ฟักทอง ตำลึง ถั่วลันเตา และบล็อคโคลี่ เป็นต้น

    ควรให้ลูกกินไข่แดงก่อนไข่ขาว

    ทำไมถึงต้องให้เริ่มด้วยไข่แดงก่อน เพราะลูกของคุณแม่อาจมีสิทธิที่จะแพ้โปรตีนในไข่ขาวได้มากกว่าไข่แดง ถึงแม้ว่าจะผ่านการปรุงสุก อีกทั้งไข่แดงจะย่อยง่ายกว่าไข่ขาวอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามการให้ลูกกินไข่แดง ควรปรุงให้สุก เพราะหากกินแบบไม่สุกหรือที่เรียกว่ายางมะตูม จะทำให้ลูกย่อยยาก และหากลูกมีอายุมากกว่า 1 ขวบ ค่อยฝึกให้ลูกกินไข่ทั้งลูก

    ฝึกให้ลูกกินปลาน้ำจืดก่อนปลาทะเล

    เนื้อปลา เป็นเนื้อสัตว์ย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น และยังมีสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อสมองและการเจริญเติบโตของลูก ดังนั้นอาหารของลูกก็ควรมีปลาอยู่ในนั้นด้วย

    สำหรับปลาที่เหมาะสมที่จะให้ลูกของคุณแม่รับประทานคือปลาน้ำจืด เช่น ปลานิล ปลาทับทิม ปลาช่อน ปลาดุก หรือปลาสวาย เพราะปลาดังกล่าวจะมีเนื้อที่นุ่ม ก้างใหญ่ บดละเอียดง่าย โดยเฉพาะปลาช่อนจะมีโอเมก้า 3 มากที่สุดในบรรดาปลาน้ำจืดด้วยกัน สำหรับปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลาเก๋า ปลากะพง ปลาแซลมอน ควรให้ลูกเริ่มกินเมื่ออายุ 1 ขวบขึ้นไป เพราะมีความเสี่ยงที่จะแพ้โปรตีนในปลาทะเลง่ายกว่าปลาน้ำจืด

    การกินผลไม้ปั่นควรผ่านการปั่นเอง

    การให้ลูกกินผลไม้ปั่น เช่น มะม่วง มะละกอ แอปเปิ้ล สาลี่ แพร์ จะช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ผลไม้ที่นึ่งและปั่นสดจะได้ประโยชน์มากที่สุด และลูกควรกินผลไม้ปั่นทันทีเมื่อทำเสร็จหรือไม่ควรนานเกิน 15 นาที เพราะวิตามินในผลไม้จะไม่สูญเสียไป มั่นใจได้ว่าลูกกินแล้วจะไม่ท้องเสีย และปราศจากเชื้อโรค แน่นอน

    อุ่นร้อนก่อนกิน

    อาหารที่ทำให้ลูกกิน ถ้าทำเสร็จ สด ใหม่ แล้วรับประทานเลยคงจะไม่มีปัญหา แต่สำหรับคุณแม่บางท่านสิ ทำงานนอกบ้านด้วย มีความจำเป็นที่จะต้องทำอาหารฟรีสไว้ ให้คุณยายป้อนแทน ก่อนป้อนจะต้องอุ่นอาหารให้ร้อนทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการอุ่นด้วยไมโครเวฟ หรือการอุ่นด้วยเครื่องนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียอีกรอบค่ะ
    อาหารที่อุ่นให้ลูกกินแล้ว เมื่อกินไม่หมดควรเททิ้ง ไม่ควรนำกลับมาให้กินใหม่ เพื่อป้องกันแบคทีเรียในน้ำลายของลูกจากการป้อนครั้งก่อน

    ป้อนมื้อเช้าชัวร์ที่สุด

    อาหารเสริมลูกควรเป็นอาหารปั่นละเอียด ลักษณะของอาหารควรเหลวเป็นน้ำคล้ายโยเกิร์ตหรือเหลวกว่า ควรป้อนมื้อเช้าหรือกลางวัน เพราะหากมีอาการแพ้จะได้ไปโรงพยาบาลเตรียมหาหมอทัน แต่ถ้าหากว่าไม่มีอาการแพ้สามารถเปลี่ยนมาป้อนมื้อเย็นได้ เพราะจะทำให้ลูกอิ่มนานขึ้นและหลับยาวขึ้น

    บทความเที่เกี่ยวข้อง

  • กิจกรรมพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์สำหรับเด็ก

    กิจกรรมพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์สำหรับเด็ก

    การพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์สำหรับเด็กมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเราจำเป็นต้องสอนลูกน้อยของเราเกี่ยวกับอารมณ์และวิธีตอบสนอง เพื่อให้เขาสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้เมื่อโตขึ้น เพราะทักษะทางสังคมไม่เพียงแค่เป็นเรื่องสนุกเท่านั้น แต่ช่วยให้ลูกๆของคุณเตรียมพร้อมรับมือกับอารมณ์และโลกใบนี้ได้ดีขึ้นได้ค่ะ ดังนั้นการใช้ กิจกรรมพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์สำหรับเด็กวัยเตาะแตะเป็นสิ่งที่คุณสามารถเริ่มได้ตั้งแต่อายุยังน้อยค่ะ

    ทักษะทางอารมณ์และสังคมคืออะไร

    การเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์เป็นกระบวนการที่เด็กเริ่มเรียนรู้และพัฒนาทักษะชีวิต ได้แก่ การสื่อสาร การทำงานร่วมกัน การรับรู้และจัดการอารมณ์ และการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง ซึ่งเป็นทักษะที่เด็กต้องมีปฏิสัมพันธ์กับทั้งผู้ใหญ่และเพื่อนๆ การจัดการและควบคุมอารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของทักษะทางสังคมค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองรวมถึงคุณครูมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์สำหรับเด็กๆค่ะ

    กิจกรรมพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์สำหรับเด็ก

    ทักษะการพัฒาทางสังคมและอารมณ์ในเด็ก อาจมีลักษณะแตกต่างกันไปในเด็กทุกคนค่ะ ในฐานะพ่อแม่คุณสามารถส่งเสริมทักษะดังกล่าวได้ค่ะ ซึ่งกิจกรรมการเรียนรู้อารมณ์ทางสังคมไม่จำเป็นต้องซับซ้อน สามารถเริ่มได้ตั้งตั้งยังเล็กและใช้เป็นกิจวัตรประจำวันของคุณได้อย่างง่ายค่ะ ยกตัวอย่างเช่น

    • การมองตาหรือสบตาทุกครั้งที่คุณคุยกับลูก เมื่อคุณบอกลูกน้อยของคุณเกี่ยวกับเรื่องง่ายๆ เช่น คุณรักเขามากแค่ไหน เป็นต้น เด็กๆจะรู้ว่าคุณกำลังคุยกับเขาเมื่อเวลาผ่านไปเขาจะเรียนรู้ถึงความสำคัญของการมองผู้คนเมื่อเขาพูดคุยกันค่ะ 
    • ตอบสนองต่อการพูดของลูก ในช่วง 2 – 3 เดือนแรกทารกไม่สามารถพูดได้แต่เขามารถส่งเสียงได้ค่ะ นั่นคือวิธีการสื่อสารของเขา อย่าเพิกเฉยต่อเสียงหัวเราะเล็กๆควรตอบกลับเหมือนว่าคุณเข้าใจเขา รวมถึงสามารถขยับมือแสดงสีหน้าต่าง ๆ และพยักหน้าตอบรับทุกสิ่งที่เขาพูดค่ะ
    • การพูดคุยกับลูก เป็นกิจกรรมพัฒนาสังคมที่ดีแม้ว่าคุณจะคิดว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูดก็ตามค่ะ 
    • การพาลูกออกไปข้างนอก การไปเดินเล่นนอกบ้าน เพื่อให้เด็กๆเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว ได้รู้จักเพื่อนๆต่างวัย หรือแม้แต่ดอกไม้และสัตว์ต่างๆค่ะ
    • การเล่นบทบาทสมมุติ เป็นวิธีที่ดีสำหรับเด็กๆผ่านการเล่าเรื่อง การจินตนาการ อีกทั้งยังเป็นการทดลองเกี่ยวกับพฤติกรรมทางสังคม และมักจะสนุกกับการแสดงในสิ่งที่พวกเขารู้ เช่น การทำอาหาร การซื้อขายสิ่งของ เป็นต้น 
    • เกมกระดานเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับเด็กๆเช่นเดียวกับการเล่นกีฬาเป็นทีม ที่จะให้เด็กๆได้สัมผัสกับการเล่นแบบผลัดกันเล่นเช่นเดียวกับการชนะและแพ้ค่ะ

    นอกจากนี้การเป็นแบบอย่างทางอารมณ์ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กๆเช่นกันค่ะ เพราะเด็กมักเลียนแบบและเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบต่างได้ดีกว่าการพูดคุยค่ะ การสอนให้เด็กๆเรียนรู้และเข้าใจอารมณ์ ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ดีหรือไม่ดีค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • ลูกดูดนิ้ว ทำอย่างไร

    ลูกดูดนิ้ว ทำอย่างไร

    ลูกดูดนิ้วหัวแม่มือเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยค่ะ เด็กหลายคนเลิกดูดนิ้วหัวแม่มือได้เองเมื่ออายุ 6 – 7 เดือน หรือ 2 – 4 ปีค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านอาจสงสัยว่าการดูดนิ้วหัวแม่มือของทารกปลอดภัยถูกสุขอนามัยหรือไม่ และวิธีทำให้ลูกน้อยเลิกนิสัยนี้ได้อย่างไร ด้านล่างนี้เราจะพูดถึงสาเหตุของการดูดนิ้วหัวแม่มือและวิธีช่วยเด็กๆให้เลิกดูดนิ้วได้อย่างไร

    ลูกดูดนิ้วหัวแม่มือปกติหรือไม่

    การดูดนิ้วหัวแม่มือปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้เด็กสอดนิ้วโป้งหรือนิ้วเข้าไปในปากและมีเด็กหลายคนที่ทำเช่นเดียวกันค่ะ ในความเป็นจริงแล้วเราจะเห็นว่าการการดูดนิ้วหัวแม่มืออาจเริ่มตั้งแต่ในครรภ์เห็นได้จากการอัลตราซาวนด์ค่ะ โดยเด็กส่วนใหญ่มักเลิกดูดนิ้วได้เองค่ะ

    ทำไมลูกชอบดูดนิ้วหัวแม่มือ

    อาจมีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ทารกดูดนิ้วหัวแม่มือ เช่น ความหิว ในช่วงแรกเกิดทารกที่ดูดมืออาจพยายามบอกคุณว่าหิว ซึ่งเป็นสัญชาตญาณการดูดโดยธรรมชาติค่ะ ความเบื่อหน่ายไปจนถึงความวิตกกังวลบางอย่าง ซึ่งการดูดนิ้วอาจจะเป็นสัญญาณของตัวเองในการช่วยให้เด็กๆรู้สึกผ่อนคลายค่ะ การงอกของฟัน หรือที่หลายๆคนเรียกว่าอาการคันเหงือก การดูดนิ้วหรือกำปั้นจึงเป็นพฤติกรรมที่ช่วยให้เด็กๆรู้สึกดีขึ้นค่ะ

    การดูดนิ้วหัวแม่ส่งผลเสียอย่างไรบ้าง

    การดูดนิ้วหัวแม่มือไม่ใช่เรื่องน่ากังวลจนกว่าฟันน้ำนมของเด็กเริ่มหลุดออกและฟันแท้งอกค่ะ ซึ่งในตอนนั้นการดูดนิ้วหัวแม่มืออาจเริ่มส่งผลกระทบต่อการเรียงตัวของฟันและปัญหาทางทันตกรรมได้ค่ะ นอกจากนี้เรื่องของความสะอาดซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษค่ะ เพราะการดูดนิ้วมักนำมาซึ่งการได้รับเชื้อโรคเพิ่มขึ้นจากการหยิบจับสิ่งของหรือการเอามือเข้าปากที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียต่างๆอาจนำไปสู่อาการเจ็บป่วยอื่นตามมาได้ค่ะ และยังรวมถึงบุคลิกภาพของตัวเด็ก อาจถูกผู้อื่นล้อเลียนได้ค่ะ

    วิธีเลิกดูดนิ้วในเด็ก

    ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่า ถ้าลูกจะต้องติดดูดอะไรซักอย่าง ให้ลูกติดดูดจุกหลอกจะสามารถเลิกได้ง่ายกว่าการติดดูดนิ้วค่ะ เนื่องจากนิ้วอยู่กับลูกตลอดเวลาจะเอาไปซ่อนก็ไม่ได้ และมักและพบว่าเด็กที่ติดดูดนิ้วส่วนใหญ่เกิดจากผู้เลี้ยงดูพยายามดึงนิ้วออกจึงทำให้ได้รับการต่อต้านจากเด็กค่ะ ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีสุดสามารถทำได้ โดยใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจ พยายามหากิจกรรมที่ต้องใช้มือหรือหาของเล่นมาให้เด็กถือ เพื่อให้มือไม่ว่างและเอานิ้วออกมาจากปากเองค่ะ การใช้บอระเพ็ด ยาม่วง มะนาวหรือน้ำส้มสายชู อาจใช้ได้ผลกับเด็กบางคนเท่านั้นค่ะ ซึ่งเด็กบางคนอาจดูดจนจืดจางไปหรือบางคนอาจไปล้างมือและกลับมาดูดซ้ำต่อได้ค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • น้ำมันมะกอก ประโยชน์สำหรับทารก

    น้ำมันมะกอก ประโยชน์สำหรับทารก

    น้ำมันมะกอกขึ้นชื่อเรื่องคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้น และเป็นหนึ่งในน้ำมันที่ดีที่สุดสำหรับผิวเด็กค่ะ ดีต่อสุขภาพและประโยชน์มากมายที่คุณไม่ควรพลาดค่ะ และบทความนี้รวบรวบประโยชน์ของน้ำมันมะกอกสำหรับเด็กมาฝากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

    น้ำมันมะกอกคุณค่าทางโภชนาการ

    เนื่องจากน้ำมันมะกอกมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณที่ดีต่อสุขภาพจึงสามารถใช้ในอาหารของทารกได้หลังจากอายุ 6 เดือน กรดไขมันเหล่านี้ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดและตับอ่อนค่ะ แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสียได้ค่ะ

    น้ำมันมะกอกสำหรับการนวด

    การนวดเป็นวิธีที่ดีในการสร้างความผูกพันระหว่างแม่ลูก และเมื่อพูดถึงการนวดน้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันนวดที่ดีเยี่ยม สามารถใช้เพื่อทำให้ทารกสงบและส่งเสริมการเจริญเติบโตและการนอนหลับของทารกค่ะ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ชั้นยอดอีกด้วยค่ะ

    น้ำมันมะกอกรักษาอาการท้องผูก

    หากหนึ่งน้อยของคุณรู้สึกมีอาการท้องผูก น้ำมันมะกอกเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสำหรับเด็กๆค่ะ และช่วยบรรเทาอาการโคลิกในเด็ก โดยวิธีการรักษาแบบธรรมชาติที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือการถูน้ำมันมะกอกอุ่น ๆ ที่ท้องของทารกโดยหมุนเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา ช่วยให้ทารกนอนหลับได้ดีขึ้นและป้องกันแก๊สในกระเพาะค่ะ

    น้ำมันมะกอกลดปัญหาผื่นผ้าอ้อม

    ผื่นผ้าอ้อมในเด็กเล็กพบได้บ่อยมักทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและเมื่อปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่การติดเชื้อได้ค่ะ น้ำมันมะกอกสามารถทำหน้าที่รักษาผื่นผ้าอ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงนำน้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นให้นำมาทาและนวดบริเวณที่เกิดผื่นผ้าอ้อมค่ะ

    น้ำมันมะกอกบรรเทาอาการไอในทารก

    อาการไออาจทำให้ลูกน้อยของคุณหงุดหงิด ไม่สบายตัว เมื่อคุณทาน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมันสะระแหน่หรือโรสแมรี่ 2-3 หยด ถูน้ำมันนี้ที่หน้าอกและหลังของทารก ซึ่งเวลาที่ดีที่สุดในการทาคือก่อนนอนเนื่องจากทารกนอนหลับสบายค่ะ

    น้ำมันมะกอกช่วยลดไขบนศีรษะทารก (Cradle Cap)

    ไขบนศีรษะทารกเป็นการหลุดลอกของหนังศีรษะที่พบบ่อยในทารกค่ะ ส่งผลให้หนังศีรษะของทารกแห้งและเป็นขุย ซึ่งน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้นที่ดีเยี่ยมซึ่งช่วยรักษาไขบนศีรษะทารก สิ่งที่คุณต้องทำคือ ทาน้ำมันมะกอกลงบนหนังศีรษะของลูกน้อยและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 – 20 นาที หากเปลือกบนหนังศีรษะหนาเกินไปให้ทิ้งน้ำมันไว้ข้ามคืนค่ะ ในตอนเช้าเพียงล้างน้ำมันออกโดยใช้น้ำอุ่นและแชมพูอ่อนๆให้สะอาด คุณแม่อาจใช้หวีแปรงขนนุ่มช่วยแปรงไขเบาได้ค่ะ เพื่อกระตุ้นให้ไขดังกล่าวหลุดออกมาได้ง่ายขึ้นค่ะ

    น้ำมันมะกอกอาจมีประโยชน์มากมาย แต่สิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรคำนึงคือ ความปลอดภัยเนื่องจากเด็กเด็กละคนมีความแตกต่างกันทั้งทางด้านร่างกายและสุขภาพค่ะ หากพบความผิดปกติกับลูกน้อยควรรีบพบแพทย์ทันทีค่ะ หรือสามารถปรึกษาคุณหมอก่อนการใช้น้ำมันมะกอกกับลูกน้อยของคุณค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • จุกนมหลอก ข้อดีและข้อเสีย

    จุกนมหลอก ข้อดีและข้อเสีย

    จุกหลอกอีกหนึ่งอุปกรณ์สำหรับทารก ซึ่งมีทั้งประโยชน์ในการใช้งานแต่ในขณะเดียวกันจุกนมหลอกข้อดีและข้อเสียเช่นกันค่ะ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรทราบถึงข้อดีและข้อเสียของการใช้จุกนมหลอก ซึ่งมีหลายสิ่งที่พ่อแม่มือใหม่ต้องระวังและพิจารณาถึงความเหมาะสมให้ลูกน้อยได้ใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัยค่ะ

    จุกนมหลอก คืออะไร

    จุกหลอก หรือที่เรียกว่าจุกนมหลอก อุปกรณ์ที่ช่วยให้ทารกรู้สึกผ่อนคลาย เบี่ยงเบนความสนใจของเด็กชั่วคราว ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ สีสันสดใสและขนาดให้เลือกตามความเหมาะสะ โดยจุกหลอกเด็กๆสามารถเริ่มใช้ได้ตั้งแต่อายุ 3 – 4 สัปดาห์ แต่ควรให้ทารกคุ้ยเคยกับการดูดนมจากเต้านมแม่หรือขวดเสียก่อน หรือจุกหลอกลักษณะใกล้เคียงกับนมแม่หรือจุดขวดนมค่ะ และควรเลิกใช้จุกหลอกตั้งแต่อายุ 2 ปีเป็นต้นไปค่ะ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากค่ะ

    ข้อดีของจุกนมหลอก

    จุกนมหลอกมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับพ่อแม่มือใหม่ และสำหรับทารกบางคนจุกนมหลอกเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความพึงพอได้ค่ะ ช่วยบรรเทาอาการจุกจิกของทารกได้ ทารกบางคนมีความสุขที่สุดเมื่อได้ดูดบางสิ่งบางอย่าง เบี่ยงเบนความสนใจของเด็กชั่วคราว นอกจากนี้จุกนมหลอกมีประโยชน์หลายประการซึ่งรวมถึง

    • ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะไหลตายในทารก(SIDS) การใช้จุกนมหลอกช่วยลดความเสี่ยงของปัญหานี้ ในขณะที่ทารกดูดยางกัดในตอนกลางคืนจะช่วยให้สมองของทารกได้ทำงานและลดความเสี่ยงไม่ให้หยุดหายใจค่ะ
    • ความสะดวกสบายในระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะเดินทางร่วมกับผู้อื่น เช่น เครื่องบิน เป็นต้น คุณต้องเคยได้ยินเด็กทารกบนเครื่องบินร้องไห้บ่อยๆ การให้ทารกดูดจุกนมหลอกช่วยลดปัญหาเสียงรบกวนผู้อื่น อีกทั้งยังช่วยรักษาความดันหูของทารกให้คงที่ลดอาการปวดหูที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดันค่ะ
    • กระตุ้นให้ทารกปลอบตัวเอง จุกนมหลอกสามารถช่วยให้ทารกเรียนรู้ที่จะควบคุมความรู้สึกผ่อนคลายและทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย

    อะไรคือข้อเสียของจุกนมหลอก

    แม้ว่าจุกนมหลอกจะมีประโยชน์สำหรับคุณแม่และลูกน้อย แน่นอนว่าจุกหลอกก็มีข้อผิดพลาดเช่นกัน อาทิเช่น

    • เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อในหู เมื่อจุกหลอกไม่ได้รับการทำความสะอาดหรือทำความสะอาดไม่เพียงพอ
    • การใช้จุกนมหลอกเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดปัญหาทางทันตกรรม ปัญหาฟันขึ้นผิดปกติในช่องปาก  
    • ปัญหาด้านการพูด จุกนมหลอกอาจรบกวนการเจริญเติบโตและพัฒนาการในช่องปากของทารก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการพูดได้ค่ะ
    • การใช้จุกนมหลอกอาจรบกวนการให้นมบุตร เนื่องจากทารกบางคนมีความไวต่อความแตกต่างระหว่างนมแม่ ขวดนมหรือจุกหลอก

    คำแนะนำและสิ่งที่ไม่ควรทำในการใช้จุกหลอก

    หากคุณพ่อคุณแม่เลือกที่จะให้ลูกน้อยจุกนมหลอกให้คำนึงถึงเคล็ดลับเหล่านี้

    • ควรฆ่าเชื้อด้วยการต้มในน้ำเดือดประมาณ 5 นาที
    • ไม่ควรบังคับลูกให้ใช้จุกหลอกหากลูกของคุณไม่อยากใช้ค่ะ
    • อย่าใส่อะไรบนจุกหลอกเพื่อกระตุ้นให้ลูกน้อยใช้จุกนมหลอก เช่น น้ำผึ้ง ฯลฯ
    • ควรซื้อจุกนมหลอกแบบชิ้นเดียวเสมอ ห้ามใช้จุกนมที่ชำรุด เพื่อป้องกันการหลุดออกจากกันและหลุดเข้าคอลูกน้อยได้ค่ะ
    • หลีกเลี่ยงการใช้คล้องสายจุกหลอก อาจทำให้สายรัดคอเด็กและเป็นอันตรายได้ค่ะ
    • ห้ามใช้จุกหลอกร่วมกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคต่างๆค่ะ

    ความเสี่ยงของการใช้จุกนมหลอกเริ่มมีมากกว่าประโยชน์เมื่อลูกน้อยของคุณอายุมากขึ้น สิ่งสำคัญของการใช้จุกหลอกคือ เรื่องของความสะอาดและตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ชำรุดเสียหายค่ะ ดังนั้นควรทำความสะอาดและต้มฆ่าเชื้อเป็นประจำด้วยน้ำเดือดประมาณ 5 นาที เลือกวัสดุที่ปลอดสารบิสฟีนอล-เอ และขนาดให้เหมาะสมกับวัยและปากของเด็กค่ะ

  • สะดือลูกเลือดออก สาเหตุและการดูแล

    สะดือลูกเลือดออก สาเหตุและการดูแล

    สายสะดือมีความสำคัญมากสำหรับทารกในครรภ์เนื่องจากช่วยให้ทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารจากแม่ แต่เมื่อหลังคลอดสายดือไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในการให้สารอาหารสำหรับทารกอีกต่อไปค่ะ ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ยังคงมีสายสะดือส่วนเล็กๆอยู่ที่หน้าท้องของทารก และจะหลุดออกมาเองช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปในแต่ละคนค่ะ ในครั้งนี้เรามารู้เรื่องเกี่ยวกับสะดือของลูก และสาเหตุของสะดือลูกเลือดออกกันค่ะว่าดูแลอย่างไร

    สายสะดือคืออะไร

    สายสะดือของทารกเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างลูกน้อยกับรกซึ่งเป็นอวัยวะที่รับผิดชอบในการหล่อเลี้ยงสารอาหารในห้กับทารกในครรภ์ เมื่อลูกน้อยของคุณเกิดมาสายนี้จะถูกหนีบและตัดทิ้งไว้เล็กน้อยที่หน้าท้องของทารกแรกเกิด และเมื่อสายสะดือหลุดเป็นเรื่องปกติที่จะมีเลือดออกที่สะดือของทารก ซึ่งเห็นได้ทันทีหลังจากที่สายหลุดหรืออาจเกิดขึ้นในสัปดาห์ต่อมา เลือดที่ไหลออกมาอาจมีสีเขียวหรือสีเหลืองอาจดูเหมือนหนองเล็กน้อย แต่เป็นเพียงเมือกและไม่ได้เป็นสัญญาณของการติดเชื้อค่ะ ส่วนใหญ่มักสังเกตเห็นได้จากรอยเปื้อนเลือดบนผ้าอ้อม เมื้อผ้าของลูกน้อย

    สาเหตุสะดือลูกเลือดออก

    กรณีส่วนใหญ่ของการมีเลือดออกที่สายสะดือของทารกนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อสายสะดือของทารกเริ่มแยกออกจากร่างกายทันทีมักมีเลือดซึมออกมาด้วยเล็กน้อย ซึ่งอาจรวมถึงการระคายเคือง การเสียดสีของเสื้อผ้า ผ้าอ้อม อาจทำให้บริเวณสายสะดือเกิดการระคายเคืองและทำให้เลือดออกได้เช่นกันค่ะ

    การดูแลสะดือทารก

    การดูแลสะดือทารกแรกเกิดเป็นสิ่งจำเป็นที่คุณควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ สิ่งสำคัญในการดูแลสายสะดือของลุกน้อยคือความสะอาดและแห้งอยู่เสมอค่ะ และไม่ควรแคะสะดือของลูกเด็ดขาดค่ะ เมื่อสายสะดือของทารกหลุดออกมักมีเลือดออกเล็กน้อยให้ใช้ผ้าก๊อซที่ผ่านการฆ่าเชื้อกดเบาๆ แต่หากพบว่ามีเลือดไหลออกมามากหรือไม่หยุดไหลให้พบแพทย์ทันทีค่ะ

    เมื่อใดที่ต้องกังวลเกี่ยวกับเลือดออกที่สะดือ

    สัญญาณแบบไหนเกี่ยวกับสายสะดือที่คุณพ่อคุณแม่ควรพบแพทย์ทันที แม้ว่าการติดเชื้อสายสะดือพบไม่บ่อยนักในเด็กแรกเกิด อย่างไรก็ตามหากคุณสังเกตเห็นหนอง ท้องบวมหรือมีเลือดมากเกินไปควร อาจมีสัญญาณบางอย่างที่อาจแสดงถึงความผิดปกติที่อาจทำให้สายสะดือเลือดออกได้ค่ะ

    • มีไข้สูง ง่วงซึม เบื่ออาหาร ไม่สบายตัว
    • บริเวณสะดือของลูกอุ่นขึ้นเมื่อเทียบกับอุณหภูมิของผิวหนังบริเวณอื่นๆ
    • ผิวหนังบริเวณสายสะดือของทารกมีสีแดงมาก  ตุ่มผื่นรอบสะดือ ท้องบวม
    • มีน้ำไหลคล้ายหนองหรือขุ่นบริเวณสายสะดือ บางครั้งอาจมีกลิ่นเหม็นมาด้วย
    • เมื่อสัมผัสปุ่มท้องลูกน้อยของคุณดูเหมือนจะเจ็บปวดหรือรู้สึกไม่สบายตัว

    แม้ว่าการติดเชื้อของสายสะดือจะพบได้น้อย แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นควรดูแลป้องกันและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการเลือดไหลและการติดเชื้อค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ปลอดภัยสำหรับเด็กหรือไม่

    ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ปลอดภัยสำหรับเด็กหรือไม่

    บทความนี้สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กังวลว่าการใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์จะปลอดภัยสำหรับเด็กหรือไม่ ซึ่งการบริโภคฟลูออไรด์มากเกินไปอาจมีความเสี่ยงต่อความเสียหาย เนื่องจากเป็นช่วงที่ฟันกำลังพัฒนาค่ะ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างปลอดภัยที่สุดค่ะ และวันนี้เรามีข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับฟลูออไรด์คืออะไรและสุขภาพช่องปากสำหรับเด็กๆมาฝากค่ะ

    ฟลูออไรด์คืออะไร

    ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุตามธรรมชาติที่พบในเปลือกโลก พบได้ตามธรรมชาติในน้ำและอาหารบางชนิด เช่น ปลาทะเล มะละกอ แครอท กะหล่ำปลี เป็นต้น ฟลูออไรด์ที่เข้าสู่ร่างกายส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟันค่ะ โดยสรรพคุณช่วยป้องกันฟันผุ เสริมสร้างสารเคลือบฟัน ลดการสูญเสียแร่ธาตุ ลดแบคทีเรียและคราบจุลินทรีย์ในช่องปาก ช่วยในการซ่อมแซมความเสียหายของฟันที่เกิดจากกรด จึงนิยมนำมาเป็นส่วนผสมของยาสีฟันและน้ำค่ะ

    ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุได้อย่างไร

    เนื่องจากฟลูออไรด์เป็นสารที่เสริมสร้างสารเคลือบฟันให้แข็งแรง ทนทานต่อการกัดกร่อนช่วยในการซ่อมแซมความเสียกายของฟันที่เกิดจากกรดได้ดีค่ะ ยังยั้งการผุที่ผิวเคลือบฟันเท่านั้นค่ะหากพบว่ามีการผุลุกลามเป็นรูอย่างชัดเจนต้องทำการรักษาด้วยการอุดฟันค่ะ

    ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ปลอดภัยสำหรับเด็กหรือไม่

    มีการถกเถียงกันว่าฟลูออไรด์ปลอดภัยสำหรับทารกหรือไม่นั้น อย่างไรก็ตามฟลูออไรด์มีความจำเป็นต่อร่างกายในทุกวัยแต่ในปริมาณที่ต่างกันไปค่ะ การให้ฟลูออไรด์เสริมเพื่อป้องกันฟันผุนั้นในวัยเด็กเล็กจะเหมาะสมและได้ผลดีที่สุดค่ะ เนื่องจากโครงสร้างฟันของเด็กๆยังสร้างตัวได้ไม่เต็มที่อีกทั้งการแปรงฟันยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอค่ะ การได้รับฟลูออไรด์จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวฟันมากขึ้นค่ะ

    ผลกระทบจากร่างกายได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป

    การได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปมีโอกาสทำให้ฟันมีสีขุ่นขาว ฟันตกกระ(สีน้ำตาลบนผิวฟัน)ได้ค่ะ และการกลืนยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เข้าไปในปริมาณมากอาจทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้อาเจียน แต่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงค่ะ และปริมาณที่เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่โครงสร้างของฟันกำลังสร้างตัวควรอยู่ในปริมาณฟลูออไรด์ที่ควรได้รับไม่เกิน 2.0 mg ต่อวันค่ะ

    สุขอนามัยในช่องปากและฟันของเด็กเป็นปัญหาหลักสำหรับผู้ปกครองส่วนใหญ่ ดังนั้นการใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ในเด็กอายุ 3 ปี ควรใช้ยาสีฟันเล็กน้อยหรือแตะๆแค่ปลายขนแปรงเท่านั้นค่ะ และอายุ 4 – 6 ปี ยาสีฟันที่เหมาะสมและปริมาณที่ใช้ไม่เกินขนาดของเมล็ดถั่ว การกลืนยาสีฟันเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กเล็ก เนื่องจากยาสีฟันมักผสมออกมาให้มีรสชาติหอมอร่อยค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • แปรงฟันแบบแห้ง ลดปัญหาฟันผุ

    แปรงฟันแบบแห้ง ลดปัญหาฟันผุ

    แปรงฟันแบบแห้ง อาจไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับหลายๆท่าน  แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการแปรงฟันเด็ก ๆ แบบแห้งและการแปรงแบบเปียกนั้นสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากต่อสุขภาพช่องปาก ดังนั้นสำหรับบางท่านที่ยังไม่เข้าใจถึงการแปรงฟันแบบแห้ง เรามีคำตอบและข้อมูลดีๆเกี่ยวกันการแปรงฟันมาฝากค่ะ

    การแปรงฟันแบบแห้งคืออะไร

    การแปรงฟันโดยทั่วไปที่เราส่วนใหญ่ทำคือ การใช้แปรงสีฟันจุ่มน้ำ การบ้วนปาก เรียกว่าการแปรงฟันแบบเปียก ส่วนการแปรงฟันแบบแห้งคือการแปรงฟันด้วยยาสีฟันโดยไม่ผ่านน้ำค่ะ หลังแปรงฟันเสร็จให้บ้วนน้ำลายและยาสีฟันทิ้งเท่านั้น ไม้ต้องบ้วนปากด้วยน้ำค่ะ น้ำใช้แค่เพียงขั้นตอนการล้างแปรงสีฟันเท่านั้นค่ะ

    ข้อดีของการแปรงฟันแบบแห้ง

    การแปรงฟันแบบแห้งช่วยลดปริมาณการสะสมของคราบจุลินทรีย์บนฟัน และการแปรงฟันแบบแห้งยังช่วยนวดเหงือกให้ดีขึ้นด้วย ซึ่งสามารถช่วยป้องกันเรื่องฟันผุได้ดีกว่าการแปรงฟันแบบเปียกค่ะ เนื่องจากฟลูออไรด์จากยาสีฟันที่ค้างปากจะยึดเกาะผิวฟันได้ดีกว่าค่ะ ไม่ถูกเจือจางจากการบ้วนปากด้วยค่ะค่ะ

    การแปรงฟันแบบแห้ง

    • บีบยาสีฟันปริมาณเหมาะสมกับช่วงอายุ ยาสีฟันควรมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ และหากกลัวว่าแปรงจะสกปรกสามารถล้างแปรงด้วยน้ำก่อนได้ค่ะ แต่ต้องสะบัดน้ำออกจากแปรงสีฟันให้แห้งที่สุดคะ
    • แปรงฟันตามขั้นตอนและวิธีการแปรงฟันที่ถูกต้องทั่วทั้งปากค่ะ กรณีที่เป็นเด็กเล็กคุณพ่อคุณแม่ควรช่วยเหลือหรือแปรงฟันให้ลูกค่ะ
    • หลังแปรงฟันห้ามบ้วนปากด้วยน้ำค่ะ บ้วนน้ำลายและยาสีฟันก็พอค่ะ เพราะ 30 นาทีหลังแปรงฟันฟลูออไรด์จะมีความเข้มข้นมาก ถ้าเราใช้นมบ้วนปากความเข้มข้นก็จะถูกเจือจางลงค่ะ ทำให้สารป้องกันฟันผุลดน้อยลงไปด้วยค่ะ
    • งดน้ำและอาหารหลังแปรงฟันอย่างน้อย 20-30 นาที เพื่อให้ฟลูออไรด์ทำงานได้อย่างเต็มที่ค่ะ
    • ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับแปรงฟันที่สุดคือหลังอาหารเช้า และก่อนเข้านอนค่ะ
    • การใช้ไหมขัดฟันก่อนการแปรงฟัน นอกจากให้ช่วยในเรื่องของความสะอาดของฟันแล้วยังช่วงให้ฟลูออไรด์เข้าถึงทุกซอกฟันได้อย่างเต็มที่ค่ะ

    คุณพ่อคุณแม่อาจกังวลเรื่องของการกลืนยาสีฟันจะเป็นอันตรายต่อตัวเด็กๆไหม การกลืนยาสีฟันไม่เป็นอันตรายค่ะ แต่การกลืนหรือกินยาสีฟันบ่อยๆหรือให้ปริมาณมาก อาจทำให้ฟันเปลี่ยนสีได้ค่ะ เนื่องจากร่างกายได้รับฟลูออไรด์สะสมมากเกินไปค่ะ สิ่งสำคัญที่การใช้ยาสีฟันควรมีส่วนผสมของฟลูออไรด์เข้มข้น 1000ppm และใช้ในปริมาณที่เหมาะสมกับเด็ก ได้แก่

    • เด็กๆอายุต่ำกว่า 3 ปี ควรใช้ยาสีฟันเล็กน้อยหรือแตะๆแค่ปลายขนแปรงเท่านั้นค่ะ
    • เด็กๆอายุ 3 – 6 ปี ปริมาณยาสีฟันที่เหมาะสมคือขนาดเท่ากับความกว้างของแปรงสีฟันค่ะ
    • เด็กๆอายุ 6 ปีขึ้นไป สามารถบีบยาสีฟันให้เท่ากับความยาวของแปรงค่ะ

    นอกจากการแปรงฟันที่ถูกวิธีแล้ว การดูแลสุขภาพช่องปากของลูกน้อยควรพบทันตแพทย์อย่างน้อย 6 เดือนต่อ 1 ครั้งค่ะ เพื่อประเมินสุขภาพฟันและรับการดูแลสุขภาพฟันที่เหมาะสมต่อไปค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • อาหารทารกควรปรุงรสหรือไม่

    อาหารทารกควรปรุงรสหรือไม่

    เมื่อถึงวัยที่ลูกน้อยเริ่มทานอาหารเสริมอื่นๆ แน่นอนที่คุณแม่ต้องคัดสรรเลือกในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับลูกน้อยของคุณ ซึ่งหลายๆบ้านอาจมองข้ามการปรุงรสอาหารสำหรับเด็กๆทารกที่เริ่มรับประอาหารอื่นๆนอกจากนมแม่ค่ะ คุณแม่กำลังสงสัยใช่ไหมคะว่า อาหารทารกควรปรุงรสได้ไหม มาหาคำตอบกันค่ะ

    การเริ่มอาหารเสริมสำหรับเด็กทารก

    การเริ่มต้นป้อนอาหารเสริมอื่นควรเริ่มเมื่อทารกอายุ 5 เดือนขึ้นไปค่ะ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มอาหารมื้อแรก แนะนำว่าควรเป็นอาหารที่ปั่นละเอียด ปรุงสุก สะอาด หลีกเลี่ยงผลไม้รสเปรี้ยว หลีกเลี่ยงกรให้ลูกทานผลไม้ที่มีรสหวานจัดติดต่อกันและอาหารไม่ควรปรุงรสใดๆ โดยเริ่มต้นการป้อนอาหารทีละน้อยและค่อยๆเพิ่มปริมาณหรือความหลากหลายของอาหารมากขึ้นค่ะ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตหลังลูกรับประทานอาหารว่ามีอาการแพ้หรือไม่ เช่น ผื่นตามร่างกาย อาเจียน ปวดท้อง ไม่สบายตัวร้องไห้งอแง เป็นต้น อาการแพ้อาหารอาจไม่เกิดขึ้นทันทีหลังรับประทานอาหารเสร็จค่ะ อาจแสดงอาการหลังรับประทานอาหารภายหลังหลายชั่วโมงได้ค่ะ

    ทำไมไม่ควรป้อนอาหารเด็กต่ำกว่า 5 เดือน

    เนื่องจากหลังลูกน้อย 6 เดือนขึ้นไป ปริมาณธาตุเหล็กในน้ำนมแม่ลดลงค่ะ ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของเด็กๆค่ะ จึงจำเป็นต้องเริ่มรับประทานข้าวและอาหารเสริมอื่นๆค่ะ และหากป้อนอาหารทารกอายุต่ำกว่า 4 เดือนอาจทำให้เกิดการอุดตันของลำไส้ได้ค่ะ

    อาหารทารกควรปรุงรสหรือไม่

    การทำอาการให้ลูกทุกครั้งเราเชื่อว่าคุณแม่หลายๆท่านคงต้องชิมรสก่อนให้ลูกทาน และคิดว่าไม่อร่อยทำให้ลูกกินข้าวน้อย แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ ความจริงแล้วเด็กเล็กอายุ 1 ขวบ ไม่ควรรับประทานอาหารปรุงรสใดๆค่ะ เหนือจากไตของเด็กๆยังทำงานได้ไม่ดีค่ะ การรับประทานอาหารรสชาติจัดหรือรสเค็มอาจทำให้ไตของเด็กๆทำงานหนักเสี่ยงต่อการเป็นเรื่องไตได้ค่ะ และไม่ควรให้ลูกกินน้ำแร่เช่นกันค่ะค่ะ เนื่องจากน้ำแร่บางยี่ย้อมีเกลือแร่สูงค่ะ

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนอายุ 1 ปี

    นอกจากหลีกเลี่ยงการปรุงรสอาหารแล้ว สิ่งที่ไม่ควรให้เด็กเล็กวัยก่อน 1 ปีรับประทานได้แก่

    • น้ำผึ้ง เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่ามีสรรพคุณมากมาย แต่สำหรับเด็กๆแล้วไม่ควรให้รับประทานเด็ดขาดค่ะ ควรให้ทานหลัง 1 ขวบเป็นต้นไป เนื่องจากการรับประทานน้ำผึ้งอาจทำให้เกอดโรคโบทูลิซึม ซึ่งส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารและอาจเสียชีวิตได้ค่ะ
    • นมพาสเจอร์ไรส์ เนื่องจากการทำงานของลำไส้ระบบย่อยอาหารในเด็กเล็กยังทำงานได้ไม่ดีค่ะ
    • อาหารจำพวกเมล็ด เช่น องุ่น ถั่ว เป็นต้น เนื่องจากเด็กๆยังเคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียดเพียงพอค่ะ อาจทำให้อุดตันหลอดลมและขาดอากาศหายใจได้ค่ะ
    • เครื่องปรุงรส เช่น ผงชูรส เกลือ น้ำปลา ฯลฯ เนื่องจากไตของเด็กยังทำงานไม่เต็มที่ การขับน้ำและเกลือส่วนเกินยังทำงานได้ไม่ดีค่ะ รวมถึงน้ำตาลอาจทำให้เด็กๆติดรสหวาน และมีโอกาสฟันผุหรือเป็นโรคต่างๆตามมาได้ค่ะ

    ดังนั้นอาหารเด็กเล็กไม่ควรปรุงรสใดๆ เพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพเด็กๆตามมาค่ะ หากลูกมีปัญหาการเลือกกิน กินยากควรเริ่มจากการฝึกวินัยในการกินค่ะ เมื่อลูกเริ่มกินอาหารเสริมอื่นๆแล้วให้ใช้มื้อนั้นแทนนม 1 ขวดได้เลยค่ะ จากนั้นให้ห่างกับมื้อนมไป 2-3 ชั่วโมงค่ะ และสิ่งสำคัญคือ หากลูกไม่กินข้าวไม่ควรให้ทานอย่างอื่นหรือดื่มนมแทนค่ะ เพราะเด็กๆจะไม่เรียนรู้วินัยการกินและจะทำให้ลูกกินยากเลือกกินได้ค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง