Tag: โรคเด็ก

  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease: CHD) เป็นหนึ่งในโรคที่ร้ายแรงที่สุดที่มีผลต่อทารก เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื้อต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอและส่งผลกระทบต่อระบบหายใจมากที่สุด โรคหัวใจพิการเป็นหนึ่งโรคที่พบบ่อยในทารกแรกเกิดค่ะ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันค่ะ โดยแบ่งเป็นประเภทหลักๆ ดังนี้

    • ความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเกิดจากทำงานของหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำที่นำเลือดออกจากหัวใจไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
    • ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้การสูบฉีดเลือดของหัวใจทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรค่ะ
    • ความผิดปกติของผนังหัวใจ เกิดรูรั่วระหว่างห้องหัวใจซึ่งอาจทำให้เลือดและออกซิเจนจากหัวใจทั้งสองห้องมาผสมกันได้ค่ะ
    • ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ ในบางรายอาจมีลิ้นหัวใจแคบเกินไป ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิทจนทำให้เลือดไหลย้อนกลับค่ะ

    สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    โรคหัวใจพิการปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของความผิดปกติ ซึ่งอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสของการเกิดโรคหัวใจพิจารแต่กำเนิดได้ ได้แก่ พันธุกรรม การติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ การทานยาบางชนิดระหว่างการตั้งครรภ์ที่อาจส่งผลกระทบ รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติดขณะตั้งครรภ์ค่ะ

    อาการของโรคหัวใจพิการ

    ในเด็กที่มีภาวะหัวใจพิการในบางรายอาจแสดงอาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และภายหลังจากคลอด ซึ่งอาจแสดงอาการทั่วไปดังนี้ ผิว ริมฝีปาก ลิ้นและเล็บมีสีสีเทาหรือเขียว มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ไม่กินนม ง่วงซึม มีอาการบวมบริเวณขา ท้องหรือรอบดวงตา เป็นต้น ในเด็กบางที่รายที่ไม่แสดงอาการใดๆจนเริ่มโตมักจะแสดงอาการต่างๆที่คุณสามารถสังเกตได้ดังนี้ เวียนหัว เหนื่อยง่ายหรือหมดสติในระหว่างการออกกำลังกายหรือในระหว่างการทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังค่ะ

    การรักษาโรคหัวใจพิการ

    การรักษาความผิดปกติของหัวใจในเด็กจะขึ้นอยู่กับความผิดปกติที่เกิดขึ้นค่ะ ซึ่งในกรณีที่ภาวะความผิดปกติไม่รุนแรงอาจหายดีได้โดยไม่ต้องรักษาค่ะ แต่ในกรณีที่มีภาวะรุนแรงต้องได้รับการรักษาทันทีที่ตรวจพบค่ะ โดยอาจจะรักษาด้วยการทานยา การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ การสวนหัวใจและหลอดเลือด การผ่าตัดหัวใจซึ่งอาจรวมถึงการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจค่ะ

  • 14 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไวรัส RSV

    14 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไวรัส RSV

    สวัสดีค่ะ บทความนี้รวบรวมคำถามที่น่าสนใจที่ที่มักถามกันบ่อยๆ เกี่ยวกับไวรัส RSV ที่คุณพ่อคุณแม่หลายๆคนสงสัยมาฝากค่ะ แต่ก่อนอื่นเรามารู้จักกับไวัสรัสชนิดนี้ในเบื้องต้นกันก่อนค่ะ ไวรัส RSV คือเขื้อไวรัสที่ก่อให้โรคในระบบทางเดินหายใจ เสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายในเด็กเล็กและสามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบได้ ไม่มียารักษาและวัคซีนในการป้องกัน โดยอาการเบื้องต้นจะคล้ายไข้หวัดทั่วไป ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองต้องสังเกตอาการลูกน้อย หากสงสัยควรพบแพทย์ทันทีค่ะ

    1. RSV คืออะไร
    RSV หรือ Respiratory syncytial virus เป็นเชื้อไวรัสซึ่งเป็นสาเหตุของโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ พบได้บ่อยและเจริญเติบโตได้ดีช่วงที่มีอากาศชื้น โดยเฉพาะในช่วงปลายฝนต้นหนาวและมีอาการคล้ายกับไข้หวัดแต่มีความรุนแรงกว่ามากค่ะ

    2. ไวรัส rsv อันตรายไหม
    การติดเชื้อไวรัส rsv นั้น อันตรายถึงขึ้นเสียชีวิตได้โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เนื่องจากเชื้อไวรัสส่งผลต่อปอดและทางเดินหายใจค่ะ

    3. เมื่อติดเชื้อไวรัส RSV มีอาการอย่างไร
    ในช่วงแรกจะมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ซึ่งอาการดังกล่าวสามารถหายได้เอง หลังจากมีการติดเชื้ออาร์เอสวีมักจะมีอาการ ดังนี้ มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียล ไอต่อเนื่องรุนแรง หายใจหอบเหนื่อย แรงจนอกบุ๋ม มีเสียงหวีด มีเสมหะเหนียวข้น เด็กมีอาการซึม เป็นต้น ซึ่งควรรีบพบแพทย์ทันที

    4. ไวรัส RSV มีระยะฟักตัวกี่วัน
    ไวรัสอาร์เอสวีมีระยะฟักตัว 2-8 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัส

    5. การตรวจหาเชื้อ RSV ทำได้อย่างไร
    การตรวจหาเชื้อ RSV ในเบื้องต้น โดยการป้ายสารคัดหลั่งน้ำมูกในจมูก เหมือนการตรวจไข้หวัดใหญ่ทั่วไป การใช้เครื่องช่วยฟังเพื่อฟังเสียงการทำงานของปอด หรือเสียงที่ผิดปกติจากส่วนอื่นๆในร่างกาย การตรวจจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว เพื่อตรวจหาไวรัส แบคทีเรีย หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ เป็นต้น

    6. การรักษาผู้ป่วยทางเดินหายใจจากเชื้ออาร์เอสวีทำอย่างไร
    เนื่องจากไม่มียาสำหรับการรักษาเชื้อไวรัสนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นการรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการรักษาตามอาการ เช่น ยากลดไข้ ยาสำหรับขยายหลอดลมเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น เป็นต้น

    7. การติดต่อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอย่างไร
    โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้นาน 3-8 วัน จากการไอหรือจาม และจะมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง ติดต่อกันได้ง่ายจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย ฯลฯ โดยไวัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูก ปาก

    8. ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไวรัส RSV มีอะไรบ้าง
    การติดเชื้อไวรัส RSV อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นได้ เช่น โรคปวดบวมหรือภาวะปอดอักเสบซึ่งอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ภาวะติดเชื้อในหูส่วนกลางซึ่งเกิดขึ้นบ่อยที่สุดในทารกและเด็กเล็ก โรคหอบหืด การติดเชื้อไวรัส RSV อย่างรุนแรงในเด็กอาจทำให้เด็กมีโอกาสเป็นโรคหอบหืดได้ในเวลาต่อมา

    9. RSV สามารถเป็นซ้ำได้หรือไม่
    ไวรัส RSV สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ค่ะ หากร่างกายอ่อนแอโดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัส

    10. หากติดเชื้อ RSV จะป่วยนานแค่ไหน
    ระยะเวลานั้นขึ้นกับว่าความรุนแรงของการติดเชื้อ โดยทั่วไปหากป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดามักหายได้เองภายใน 4 – 7 วัน แต่ถ้าหากติดเชื้อถึงทางเดินหายในส่วนล่าง ซึ่งมักส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการไอ มีเสมหะ เป็นต้น ซึ่งต้องรับการรักษาดูแลที่โรงพยาบาลในบางรายจำเป็นต้องได้รับการเคาะปอด ดูดเสมหะ เป็นระยะเวลานานถึง 2-3 สัปดาห์ค่ะ

    11. ใครสามารถป่วยจากการติดเชื้อไวรัส RSV บ้าง
    โรคทางเดินหายใจจากการติดเชื้ออาร์เอสวีนี้ สามารถพบได้ในทุกกลุ่มอายุ แต่พบบ่อยและอาการมักรุนแรงในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคหัวใจ หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

    12. ไวรัส RSV ส่งผลเสียอย่างไร
    RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ อาจส่งผลเสียได้คือ อาจรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบจากการติเชื้อ ซึ่งต้องรักษาในห้องไอซียูและในบางรายอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากระบบหายใจล้มเหลวได้ค่ะ

    13. วิธีการป้องกันการติดเชื้อไวรัสทำอย่างไร
    เนื่องจากไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV ควรป้องกันการแพร่กระจายและลดปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อได้ดังนี้

      • ทุกคนในบ้านควรล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่ เพราะการล้างมื้อช่วยลดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียต่างๆที่ติดมากับมือ
      • หลีกเลี่ยงการไปในที่แออัด โดยเฉพาะช่วงที่มีแพร่ระบาดของเชื้อต่างๆ
      • หลีกเลี่ยงสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยไข้หวัดหรือปอดอักเสบ โดยเฉพาะเด็กเล็ก
      • ทำความสะอาดบ้าน รวมทั้งของเล่นลูกเป็นประจำ
      • รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำสะอาดมากๆและพักผ่อนให้เพียงพอ

    14. วิธีการลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสทำอย่างไร
    เนื่องจากไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสอาร์และยาสำหรับรักษาโดยเฉพาะ ดังนั้นควรลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังนี้

      • ควรปิดจมูกและปากเมื่อไอหรือจามทุกครั้ง
      • หากมีความจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและรับเชื้ออื่นๆเข้าสู่ร่างกาย
      • หากลูกป่วยควรให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายดีค่ะ
      • หากพบว่าลูกป่วยควรแยกออกจากเด็กคนอื่น รวมถึงแยกสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
  • ไวรัส RSV ระบาดหนักหน้าฝน เด็กเล็กต้องระวัง

    ไวรัส RSV ระบาดหนักหน้าฝน เด็กเล็กต้องระวัง

    ช่วงนี้ฝนตกอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เด็กๆเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กเล็กซึ่งมีระบบภูมิต้านทานโรคยังไม่แข็งแรง และมีการระบาดหนักของเชื้อไวรัสอาร์เอสวี(RSV) หรือโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเด็กเล็กต้องระวังค่ะ

    ไวรัส RSV คืออะไร

    RSV หรือ Respiratory syncytial virus เป็นไวรัสที่พบบ่อย เจริญเติบโตได้ดีช่วงที่มีอากาศชื้นและแพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในเด็กเล็ก อาการคล้ายกับไข้หวัดแต่มีความรุนแรงกว่า ในเด็กเล็กมักเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย อันตรายต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดค่ะ

    สาเหตุของการติดเชื้อไวรัส RSV

    การติดเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) สามารถติดต่อกันได้ง่ายๆจากการใกล้ชิด หรือสัมผัสสารคัดหลั่งผู้ป่วย เช่น การไอ จาม เป็นต้น โดยเชื้อไวรัสอาร์เอสวีเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูกและปาก เชื้อไวรัสพบการระบาดมากในช่วงฤดูฝนและต้นฤดูหนาว ไวรัสแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการไอ หรือการจาม และจะมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง

    อาการของการติดเชื้อไวรัส RSV

    การติดเชื้อไวรัส RSV ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจซึ่งมีอาการคล้ายกับโรคหวัด ได้แก่ คัดจมูก มีน้ำมูก มีไข้ต่ำ ปวดศีรษะ ไอแห้ง เจ็บคอ ฯลฯ โดยเชื้อไวรัสนี้มีระยะการฟักตัว 4 – 6 วันหลังจากได้รับเชื้อ และสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและโรคร้ายแรงได้ เช่น โรคปอดบวม โรคหลอดลมฝอยอักเสบ เป็นต้น ซึ่งมักแสดงอาการดังนี้

    • ไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส เซื่องซึม เบื่ออาหาร
    • หายใจเร็ว หรือหอบเหนื่อยและหายใจลำบาก 
    • ไออย่างรุนแรง มีเสมหะข้นเหนียวมาก 
    • มีเสียงหวีดในปอด (จากการที่เยื่อบุทางเดินหายใจบวมอักเสบและหลอดลมหดตัว)
    • ปากหรือเล็บมีสีเขียวคล้ำจากการขาดออกซิเจน

    หากลูกมีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจมีอาการแทรกซ้อนและทรุดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้หยุดหายใจเป็นช่วงๆหรือหายใจล้มเหลวได้ค่ะ

    การรักษาการติดเชื้อไวรัส RSV

    การรักษาการติดเชื้อไวรัส RSV เป็นการรักษาตามอาการหรือการประคับประคอง เพื่อให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้นและป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ ในกรณีที่พบอาการรุนแรงหรือในผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็ก ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เช่น การรับประทานยาลดไข้ ยาลดเสมหะหรือดูดเสมหะออก ลดอาการบวมของทางเดินหายใจ ในบางรายอาจต้องทำการพ่นยาเพื่อขยายหลอดลม อาจต้องและใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจหากพบว่ามีภาวะออกซิเจนต่ำหรือระบบหายใจล้มเหลว เป็นต้น 

    ภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้อ RSV

    การติดเชื้อ RSV ในเด็กเล็ก อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและผลกระทบระยะยาวได้ เช่น โรคปอดบวมหรือหลอดลมฝอยอักเสบ ทำให้เกิดการอุดตันของระบบทางเดินหายใจ การติดเชื้อในหูชั้นกลาง โรคหอบหืด เด็กที่ได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อ RSV รุนแรงมีความเสี่ยงระยะยาวในการพัฒนาเป็นโรคหอบหืดได้ ในบางรายอาจทำให้หัวใจลมเหลวเฉียบพลันและเสียชีวิตได้ค่ะ

    การป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV

    เนื่องจาก RSV สามารถแพร่กระจายได้ง่ายโดยการสัมผัส และในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสได้ดังนี้

    • คุณพ่อคุณแม่ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนสัมผัสทารก
    • การสอนให้ลูกล้างมือให้สะอาดก่อน-หลังรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
    • รักษาความสะอาดที่อยู่อาศัย สิ่งของเครื่องใช้และของเล่นให้สะอาด 
    • หลีกเลี่ยงการการพาลูกน้อยไปยังที่แออัดในช่วงที่มีระบาดของเชื้อไวรัส
    • หากมีความจำเป็นต้องพาลูกไปสถานที่ชุมชน เช่น โรงพยาบาล ควรสวนใส่หน้ากากอนามัย
    • หากลูกป่วยเป็นหวัด ควรพักรักษาตัวให้หายก่อนไปโรงเรียน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น
    • หากผู้ปกครองเป็นหวัดควรหลีกเลี่ยงการกอดและจูบลูกจนกว่าจะหายดี
    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และการพักผ่อนให้เพียงพอ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • อาหารเป็นพิษในเด็ก สิ่งที่คุณแม่ต้องรู้

    อาหารเป็นพิษในเด็ก สิ่งที่คุณแม่ต้องรู้

    อาหารเป็นพิษในเด็ก สิ่งที่คุณแม่ต้องรู้

    อาหารเป็นพิษเป็นกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยเด็กและผู้ใหญ่ แม้ในบางครั้งเด็กและผู้ใหญ่รับประทานอาหารแบบเดียวกัน แต่กลับพบว่าเด็กเกิดอาการอาหารเป็นพิษเท่านั้น เนื่องจากเด็กมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคหรือเชื้อแบคทีเรียไม่เท่าผู้ใหญ่นั้นเองค่ะ ดังนั้นอาหารเป็นพิษจึงเป็นสิ่งที่คุณแม่ควรรู้ เพื่อป้องกันและการดูแลรักษาที่ถูกวิธีค่ะ

    อาหารเป็นพิษคืออะไร

    อาหารเป็นพิษคือกลุ่มอาการที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดจากแบคทีเรีย ในบางครั้งอาจเกิดจากเชื้อไวรัสหรือปรสิต ที่มีการปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมีโอกาสสูงกว่าในช่วงวัยอื่น เนื่องจากเด็กในช่วงวัยนี้ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงมากพอที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆเท่ากับช่วงวัยอื่นๆ และมักจะมีอาการรุนแรงกว่าเช่นกันค่ะ

    สาเหตุของอาหารเป็นพิษ

    อาหารเป็นพิษเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียหรือปรสิตในอาหารและน้ำดื่ม ซึ่งสามารถปนเปื้อนเชื้อต่างได้ตั้งแต่ระหว่างการเตรียมอาหาร การเก็บรักษา การขนส่งอาหารที่ผ่านการปรุงไม่ถูกวิธีสุอนามัย รวมถึงภาชนะเครื่องใช้ที่มีการปนเปื้อนค่ะ  ซึ่งเชื้อที่มักเป็นสาเหตุของภาวะอาหารเป็นพิษ เช่น ซาลโมเนลลา พบมากในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม คลอสติเดียม โบทูลินัม มักพบในอาหารที่บรรจุในภาชนะปิดสนิท โดยเฉพาะอาหารกระป๋องที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น หน่อไม้ดอง เนื้อสัตว์แปรรูป ฯลฯ หรือชิเกลล่า พบการปนเปื้อนทั้งในผลิตภัณฑ์อาหารสด น้ำดื่มที่ไม่สะอาด เป็นต้น

    อาการอาหารเป็นพิษในเด็ก

    โดยปกติอาการมักจะเกิดขึ้น 30 นาทีถึง 24 ชั่วโมงหลังจากกินอาหารนั้นเข้าไป ซึ่งมักแสดงอาการทั่วไปได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องและตะคริว ท้องร่วง อาการปวดหัว มีไข้ เป็นต้น อาการที่เกิดจากอาหารเป็นพิษนั้นรุนแรงในเล็กมากกว่าเด็กโตและวัยรุ่นค่ะ

    การรักษาอาหารเป็นพิษ

    อาหารเป็นพิษส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและจะดีขึ้นโดยไม่ต้องรักษา คุณแม่สามารถดูแลได้เองที่บ้าน ได้แก่

    • ควรให้ลูกดื่มน้ำสะอาดผสมผงเกลือแร่ด้วยการจิบน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์นมจนกว่าอาการท้องร่วงจะหยุด
    • เมื่อลูกรู้สึกหิวให้รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย อาจแบ่งเป็นมื้อเล็กๆแต่สามารถรับประทานได้บ่อย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด น้ำอัดลม ฯลฯ
    • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
    • หลีกเลี่ยงการให้ลูกทานยาแก้ท้องเสีย ยาต้านอาการท้องร่วงอาจทำให้อาการนานขึ้นและผลข้างเคียงสำหรับเด็กอาจรุนแรง

    หากพบว่าลูกมีอาการรุนแรงหรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วยควรรีบพบแพทย์ทันที ได้แก่

    • อาเจียนนานกว่า 12 ชั่วโมง
    • มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียล
    • หัวใจเต้นแรง ปัญหาการหายใจ
    • อาการปวดท้องอย่างรุนแรงหลังจากอุจจาระแล้ว
    • อุจจาระเปื้อนเลือดหรืออาเจียนเป็นเลือด
    • ตามัวหรือมองเห็นไม่ชัด
    • ภาวะร่างกายขาดน้ำ ได้แก่ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปัสสาวะน้อย เวียนหัว ปากแห้ง กระหายน้ำมาก เป็นต้น
    • ฯลฯ

    การป้องกันอาหารเป็นพิษ

    ขั้นตอนในการป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ ควรทำตามหลักปฏิบัติดังนี้

    • ควรสอนให้ลูกล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง
    • ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุก สดใหม่ หรือผ่านความร้อนเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในอาหาร
    • ดูแลรักษาความสะอาดบริเวณที่เตรียมอาหารอยู่เสมอ
    • ปรุงอาหารหรือเก็บอาหารให้ถูกสุขอนามัย  เช่น แยกเก็บเนื้อสดออกจากอาหารชนิดอื่นๆ เป็นต้น
    • ตรวจสอบการใช้งานหรือวันที่บนบรรจุภัณฑ์ก่อนรับประทาน

    อาการอาหารเป็นพิษในเด็กไม่เกิดอาการที่ไม่รุนแรงได้ ถ้าคุณแม่สามารถรับมือและดูแลภาวะอาหารเป็นพิษที่ที่ถูกต้องได้ค่ะ และหากพบอาการผิดปกติควรพบแพทย์ทันทีนะคะ

  • โรคซึมเศร้าในเด็ก

    โรคซึมเศร้าในเด็ก

    โรคซึมเศร้าในเด็ก

    อาการซึมเศร้าสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอัตราภาวะซึมเศร้าในวัยเด็กเพิ่มมากขึ้น และหลายคนอาจสงสัยว่าเด็กๆจะซึมเศร้าได้หรือไม่ เนื่องจากหลายท่านยังคงเชื่อว่าเด็กจะไม่รู้สึกโศกเศร้าหรือหดหู่เพราะพวกเขายังเด็กมาก ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจ และตระหนักถึงภาวะซึมเศร้าในเด็กที่อาจขึ้นกับลูกของคุณค่ะ

    เด็กๆประสบกับภาวะซึมเศร้าได้หรือไม่

    ภาวะซึมเศร้าในเด็ก (Depression) เป็นความเข้าใจผิดที่ผู้ใหญ่หลายท่านเข้าใจว่า เด็กๆไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าได้เพียงเพราะอายุ ความจริงแล้วภาวะซึมเศร้าในเด็กนั้นเป็นเรื่องปกติมากกว่าที่คุณคิด โดยพฤติกรรมของเด็กที่ซึมเศร้าอาจแตกต่างจากพฤติกรรมของผู้ใหญ่ที่มีภาวะซึมเศร้าค่ะ ภาวะซึมเศร้าอาจอยู่ในระดับปานกลางถึงรุนแรงและมีอาการเฉพาะบางอย่าง ภาวะซึมเศร้าในเด็กสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้

    1. ภาวะซึมเศร้าดิสทีเมีย ดีเพรสชั่น (Dysthymia Depression) เป็นประเภทของภาวะซึมเศร้าที่มีอาการรุนแรงน้อยแต่มีแนวโน้มที่จะเรื้อรังนานกว่า 2 ปี
    2. ภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ความผิดปกติทางอารมณ์จากฤดูที่เปลี่ยนแปลง และมักเกิดขึ้นกับผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศเขตหนาว เนื่องจากกลางวันสั้นลง กลางคืนยาวนานทำให้คนซึมเศร้า จิตตก รู้สึกเฉื่อยชามากขึ้น
    3. ภาวะซึมเศร้าแบบสองขั้ว (Bipolar depression) ลูกของคุณมีแนวโน้มที่อารมณ์ขึ้นและลง บางรายจะมีอารมณ์ซึมเศร้าสลับกับอาการลิงโลด โดยเป็นอารมณ์ที่ต่างขั้วกัน
    4. ภาวะการปรับตัวผิดปกติ (Adjustment disorder) เป็นภาวะความกดดันก่อให้เกิดความเครียด จนไม่สามารถปรับตัวได้ เช่น การเสียชีวิตของผู้ใกล้ชิด เป็นต้น

    สาเหตุของอาการซึมเศร้าในเด็ก

    อาการซึมเศร้าในเด็กไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ อาจเป็นผลกระทบมาจากปัจจัยต่างๆประกอบกัน เช่น สุขภาพร่างกาย ประวัติครอบครัวภาวะซึมเศร้า ความเจ็บป่วยทางจิต ความอ่อนแอทางพันธุกรรม สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย และความไม่สมดุลทางชีวเคมี เป็นต้น ทางการแพทย์เชื่อว่าภาวะซึมเศร้าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมอง

    สัญญาณและอาการซึมเศร้าในเด็ก

    อาการของภาวะซึมเศร้าสามารถอยู่ได้นานหลายสัปดาห์ หลายเดือนและหลายปีหากไม่ได้รับการรักษา ซึ่งอาจส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อชีวิตประจำวันของลูกรวมถึงกิจกรรมที่โรงเรียน อาการของภาวะซึมเศร้านอกเหนือจากความหงุดหงิดแล้ว ถ้าลูกของคุณแสดงอาการต่อไปนี้ลูกของคุณประสบกับปัญหาภาวะซึมเศร้าได้ค่ะ

    • โศกเศร้าบ่อยครั้ง น้ำตาไหล ร้องไห้บ่อย
    • รู้สึกหงุดหงิด และอารมณ์โกรธ
    • อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย
    • ขาดสมาธิ ปัญหาด้านการเรียนรู้
    • รู้สึกผิด ความนับถือตนเองต่ำ
    • ความโดดเดี่ยวทางสังคมการสื่อสารไม่ดี
    • ทำตัวห่างไกลจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและชอบอยู่คนเดียว ไม่สนใจในสิ่งที่เคยสนุกสนานอีกต่อไป
    • การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการกิน ความผันผวนของน้ำหนัก และมีปัญหากับการนอนหลับ
    • การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการก่อให้เกิดอันตรายกับตัวเอง

    เด็กอาจเป็นเรื่องยากที่จะระบุภาวะซึมเศร้าด้วยความถูกต้อง และขึ้นอยู่กับอาการเหล่านี้เพียงอย่างเดียว แต่ถ้าลูกของคุณแสดงอาการเหล่านี้มานานกว่า 2-3 สัปดาห์ก็ควรปรึกษาแพทย์ค่ะ

    การวินิจฉัยอาการซึมเศร้าในเด็ก

    หากลูกของคุณแสดงอาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้านานกว่า 2 สัปดาห์ คุณควรพาเขาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อขอคำปรึกษาและวินิจฉัยภาวะซึมเศร้าของเด็กได้อย่างถูกต้อง และในส่วนหนึ่งของการประเมินแพทย์อาจต้องการพูดคุยกับผู้ปกครองเช่นเดียวกับลูกของคุณค่ะ รวมถึงอาจขอข้อมูลจากครูและเพื่อนร่วมชั้นเพื่อระบุพฤติกรรม เพื่อใช้การวิเคราะห์ภาวะซึมเศร้าในเด็กโดยเฉพาะค่ะ

    การรักษาภาวะซึมเศร้าในเด็ก

    การรักษาภาวะซึมเศร้าในวัยเด็กมีความคล้ายคลึงกับผู้ใหญ่ที่มีภาวะซึมเศร้า ด้วยจิตบำบัดหรือการใช้ยาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสภาพความซึมเศร้า ในเด็กที่มีความรุนแรงระดับปานกลางมักรักษาได้ด้วยจิตบำบัดเพียงอย่างเดียว นอกเหนือจากการบำบัดการใช้ยามักจะต้องใช้ในกรณีรุนแรงของภาวะซึมเศร้า ซึ่งการหายาที่เหมาะสมและขนาดยาอาจต้องใช้เวลา นอกจากนี้การใช้ยาเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถแก้ปัญหาภาวะซึมเศร้าได้

    ภาวะซึมเศร้าในเด็กสามารถป้องกันได้หรือไม่

    ภาวะซึมเศร้าในวัยเด็กในระดับหนึ่งสามารถป้องกันได้ โดยสิ่งสำคัญคือเด็กต้องเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเลี้ยงดูที่แนบแน่นระหว่างเด็กและผู้ปกครอง การให้ความรักและการดูแลเอาใจใส่ เมื่อลูกของคุณถูกล้อมรอบจากครอบครัวที่เข้มแข็งความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อพัฒนาทักษะการเผชิญปัญหาที่ดี และควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ดี

    อาการซึมเศร้าอาจส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของลูกคุณ ดังนั้นการจัดการกับเด็กที่มีภาวะซึมเศร้าอาจทำให้เกิดความเครียด และต้องใช้เวลารวมถึงความพยายามอย่างมาก ขั้นตอนแรกคือการพูดคุยกับลูกของคุณเกี่ยวกับความรู้สึกและอารมณ์ของพวกเขาทุกครั้งที่ลูกต้องการพูดคุย การให้การสนับสนุนและการสละเวลาให้กับลูกของคุณนั้นเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการฟื้นฟูที่ดีที่สุดค่ะ

  • อาหารไม่ย่อยในเด็ก

    อาหารไม่ย่อยในเด็ก

    อาหารไม่ย่อยในเด็ก

    เด็กมักมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่าย แม้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ทั้งในเรื่องของอาหารและสุขอนามัยที่ดีของลูก โดยเฉพาะเด็กวันเข้าโรงเรียนที่จะต้องเผชิญกับองค์ประกอบภายนอกที่จะมีผลกระทบสำคัญต่อสุขภาพ และหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยคืออาหารไม่ย่อยหรือปวดท้อง ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารไม่ย่อยในเด็ก สาเหตุและการดูแลรักษาค่ะ

    อาหารไม่ย่อยในเด็กคืออะไร

    อาการอาหารไม่ย่อยเกิดขึ้นที่ส่วนบนของท้อง เมื่อเด็กรับประทานอาหารมากเกินไปหรือเร็วเกินไปไม่เหมาะกับร่างกาย สามารถมาพร้อมกับอาการท้องอืด แสบร้อน การเรออย่างต่อเนื่องและคลื่นไส้ อาการอาหารไม่ย่อยในเด็กมักพบหลังมื้ออาหาร และไม่ก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงอาจหายไปในไม่กี่ชั่วโมง อย่างไรก็ตามหากเกิดซ้ำคุณแม่อาจต้องระบุสาเหตุที่แท้จริงและใช้มาตรการป้องกันการเกิดค่ะ

    สาเหตุของการอาหารไม่ย่อยในเด็ก

    อาหารไม่ย่อยมักจะเกิดขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะอาหารที่จะมาทำลายเยื่อบุป้องกันของระบบย่อยอาหาร ซึ่งนำไปสู่การระคายเคืองของช่องท้องส่วนบน สาเหตุที่เกิดขึ้นเหล่านี้ควรได้รับการวินิจฉัยที่เหมาะสมเพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมสำหรับเด็ก หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ถูกรักษาการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจสาเหตุของอาการอาหารย่อยในเด็กอาจเป็นกุญแจสำคัญ เพื่อป้องกันและบรรเทาอาหารที่ถูกต้อง สาเหตุทั่วไปของอาการอาหารไม่ย่อย ได้แก่

    • การใช้ยาบางชนิด อาหารไม่ย่อยสามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากการใช้ยาบางชนิด มักจะเกิดขึ้นกับยาที่มีองค์ประกอบของไนเตรตซึ่งช่วยขยายหลอดเลือด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารทำให้กรดในกระเพาะอาหารรั่วไหล และเกิดการระคายเคืองเยื่อบุของระบบย่อยอาหาร หรือยาอื่นๆ เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ฯลฯ เนื่องจากยาเหล่านี้มีผลต่อการทำงานของระบบย่อยอาหารและกรดในกระเพาะอาหาร
    • โรคอ้วน เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในเด็กและผู้ใหญ่จากนิสัยการรับประทานอาหารในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อลูกของคุณเป็นโรคอ้วนมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นภายในช่องท้อง ซึ่งอาจทำให้เกิดกรดไหลย้อนในหลอดอาหารในแต่ละครั้งที่ลูกของคุณรับประทานอาหาร
    • ความเครียดและความวิตกกังวล ซึ่งความเครียดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้กระทั่งกับเด็กๆก็ตาม อาจทำให้เกิดพฤติกรรมการกินและการนอนหลับที่ผิดปกติ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การย่อยในเด็ก
    • โรคไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatus hernia) เป็นภาวะที่ส่วนของกระเพาะส่วนหนึ่งดันเข้าไปในกะบังลมปิดกั้นหลอดอาหาร สามารถทำให้เกิดการย่อยที่ไม่มีประสิทธิภาพและการไหลย้อนของกรดตามมา
    • การติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) สาเหตุทั่วไปอีกประการของการย่อยอาหารบ่อยครั้งเกิดจากการติดเชื้อ อาจนำไปสู่การเกิดแผลในกระเพาะอาหารและมะเร็ง ดังนั้นหากลูกของคุณกำลังมีอาการอาหารไม่ย่อยบ่อยครั้ง ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจที่ถูกต้อง
    • โรคกรดไหลย้อน(GERD) เกิดขึ้นเนื่องจากมีอาการอาหารไม่ย่อยในเด็กซ้ำ ทำให้เกิดการอักเสบและการระคายเคืองของหลอดอาหาร อาหารไม่ย่อยจากสาเหตุนี้ต้องได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    • แผลในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่กระเพาะอาหารของเด็กมีแผลเปิดซึ่งมีส่วนทำให้เกิดปัญหาอาหารไม่ย่อยได้เช่นกันค่ะ

    อาการอาหารไม่ย่อยในเด็ก

    อาการอาหารไม่ย่อยที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คืออาการไม่สบายบริเวณช่องท้องส่วนบน และจุดที่ควรทราบคืออาการส่วนใหญ่เกิดขึ้นทันทีหลังอาหารค่ะ ในกรณีที่อาหารไม่ย่อยอย่างรุนแรงลูกของคุณอาจบ่นถึงความเจ็บปวดที่ไม่สามารถทนทานได้ ซึ่งอาการทั่วไปของอาการอาหารไม่ย่อยคือ ท้องอืดรู้สึกอึดอัดในท้อง เรอหรือผ่านลมบ่อย กรดไหลย้อนที่เพิ่มขึ้นซึ่งทำให้อาหารหรือของเหลวออกจากกระเพาะอาหารกลับเข้าไปในปาก คลื่นไส้ อาเจียน ฯลฯ ในกรณีลูกของคุณมีอาการอาหารไม่ย่อยหลังอาหารเกือบทุกมื้อ และมีอาการอื่นๆร่วมด้วยควรพบแพทย์ ได้แก่ ลูกของคุณลดน้ำหนัก เบื่ออาหาร กลืนอาหารลำบาก หายใจไม่ออกหรือเหงื่อออกโดยไม่มีเหตุผล มีอาการอาเจียนอย่างต่อเนื่อง อาเจียนหรืออุจจาระมีเลือดปน เป็นต้น

    การรักษาอาการอาหารไม่ย่อยในเด็ก

    แม้ว่าอาหารไม่ย่อยในเด็กส่วนใหญ่ไม่ต้องการการรักษาจากแพทย์ แต่ในกรณีที่อาการยังคงอยู่นานกว่า 2-3 ชั่วโมง ลูกของคุณรู้สึกไม่สบายรู้สึกเจ็บปวดมากคุณอาจต้องไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น ซึ่งคุณแม่จะต้องแจ้งรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับอาการอาการของลูก รวมถึงนิสัยการรับประทานอาหารของลูกและข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ลูกของคุณใช้ค่ะ

    การรักษาโดยแพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการกดบริเวณรอบๆท้อง เพื่อทำความเข้าใจตำแหน่งของความเจ็บปวด ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยนี้เขาอาจกำหนดวิธีการรักษา หรือขอการตรวจสอบเพิ่มเติมในรูปแบบของการสแกน X-ray ช่องท้องหรือตรวจอุจจาระและปัสสาวะ เพื่อบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในทันทีลูกของคุณ อาจได้รับยาลดกรดอ่อนเพื่อบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยค่ะ

    การป้องกันอาหารไม่ย่อยในเด็ก

    หากลูกของคุณมีระบบย่อยอาหารที่ละเอียดอ่อน สิ่งสำคัญคือคุณต้องกำหนดข้อจำกัดทางโภชนาการบางอย่าง อย่าให้ลูกกินอะไรผิดปกติที่ไม่เหมาะกับท้องของเขา และเคล็ดลับพื้นฐานในการป้องกันการย่อยในเด็ก ได้แก่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำมันในปริมาณสูง หลีกเลี่ยงช็อคโกแลตในปริมาณมาก ปลูกฝังนิสัยการกินช้าๆเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน มองหาวิธีที่จะทำให้ลูกของคุณมีความสุข อย่าปล่อยให้ลูกวิ่งหรือออกกำลังกายทันทีหลังอาหารมื้อใหญ่

    อาหารไม่ย่อยเป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กและผู้ใหญ่หลายคนเช่นกันค่ะ อย่างไรก็ตามควรใช้ความระมัดระวังการดูแลเอาใจใส่กับรายละเอียด และสังเกตลูกของคุณว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไรกับอาหารที่แตกต่างกัน และควรแพทย์ทันทีเมื่อพบสิ่งผิดปกติที่เกิดกับลูกของคุณค่ะ

  • สาเหตุทั่วไปของอาการปวดท้องในเด็ก

    สาเหตุทั่วไปของอาการปวดท้องในเด็ก

    อาการปวดท้องมักสร้างความทรมานให้กับลูกของคุณ และเป็นเรื่องยากที่เราจะเข้าให้ถึงสาเหตุของการปวดท้อง แม้ว่าในบางครั้งลูกอาจบอกได้ว่าปวดบริเวณส่วนไหนของท้อง เนื่องจากอาการปวดท้องสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุตั้งแต่การกินอาหารที่มากไปจนถึงการแพ้อาหารค่ะ ดังนั้นบทความนี้จะมาพูดถึงสาเหตุของอาการปวดท้องในเด็กที่พบบ่อยค่ะ

    สาเหตุทั่วไปของอาการปวดท้องที่พบบ่อยในเด็ก

    • อาการท้องผูก เป็นสาเหตุของอาการปวดท้องที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก เนื่องจากการดื่มน้ำน้อยระหว่างวัน การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย และสัญญาณของอาการท้องผูกสังเกตได้จากพฤติกรรมการขับถ่ายลำบาก อุจจาระแข็ง เป็นต้น การบรรเทาอาการท้องผูกในเด็ก คุณแม่สามารถทำได้ด้วยการให้ลูกรับประทานอาหารที่ช่วยการอ่อนตัวของอุจจาระ เช่น น้ำลูกพรุน มะละกอสุก เป็นต้น ร่วมถึงการสวนก้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนดำเนินการค่ะ อาการท้องผูกสามารถป้องกันได้ด้วยการรับประทานที่มีกากใยอาหารสูง ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เป็นต้น
    • ก๊าซในกระเพาะอาหารและลำไส้ อาการปวดท้องที่เกิดจากการสะสมก๊าซเป็นอีกปัญหาที่พบได้บ่อยในเด็ก โดยมีสาเหตุจากนิสัยการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เกิดการสะสมของก๊าซในกระเพาะอาหารและสำไส้ การบรรเทาอาการก๊าซในกระเพาะอาหารได้แก่ ในเด็กเล็กการเรอหลังจากดื่มนมทุกครั้งหรือการนวดที่ท้องเบาๆ ในกรณีของเด็กโตอาจให้รับประทานโปรไบโอติก ช่วยในการบรรเทาแก๊สโดยช่วยรักษาแบคทีเรียที่ดีในระบบย่อยอาหาร
    • แพ้โปรตีนนมวัว อาการแพ้นมวัวในเด็กมักมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน ผื่นแพ้ขึ้น เป็นต้น ในบางกรณีเมื่อเด็กมีอาการแพ้นมอย่างรุนแรงอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ เด็กที่มีอาการแพ้นมมักจะได้รับผลกระทบจากผลิตภัณฑ์นมอื่นๆเช่นกันค่ะ ดังนั้นนมถั่วเหลืองจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเด็กที่มีอาการแพ้นม ในกรณีที่ลูกของคุณอาจแพ้นมวัวและนมถั่วเหลือง คุณควรปรึกษานักโภชนาการเพื่อทดแทนนมด้วยอาหารอื่น เพื่อตอบสนองความต้องการทางโภชนาการของเด็กค่ะ
    • อาการเมารถ เด็กหลายคนมีอาการเมารถในการเดินทางระยะไกล ส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายท้องหรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย เชื่อกันว่าอาการเมารถเกิดขึ้นระหว่างสิ่งที่เห็นภายนอกและอวัยวะที่ไวต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายไม่สัมพันธ์กัน และปัญหานี้สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการหยุดพักระหว่างการเดินทางบนท้องถนน เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์และรับประทานอาหารที่เบา และสร้างความสดชื่นระหว่างการเดินทางค่ะ

    อาการปวดท้องในเด็ก ถือเป็นเรื่องปกติ แต่มักทำให้พ่อแม่กังวลใจมากเมื่อทำให้ลูกต้องทนทุกข์ทรมาน ดังนั้นการเข้าใจถึงสาเหตุเบื้องต้นของอาการปวดท้องในเด็ก ก็จะเป็นการป้องกันหรือบรรเทาอาการในเบื้องต้นของลูกของคุณได้ค่ะ

  • 7 สาเหตุของอาการตาบวมในเด็ก

    7 สาเหตุของอาการตาบวมในเด็ก

    7 สาเหตุของอาการตาบวมในเด็ก

    ลูกตาบวมมีสาเหตุมาจากอะไร อันตรายหรือไม่และมีวิธีการดูแลรักษาอย่างไร บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปหาคำตอบกันค่ะ

    อะไรทำให้เกิดอาการบวมในเด็ก

    อาการตาบวมในเด็กสามารถสังเกตเห็นถึงความผิดปกติได้ง่าย เว้นแต่ในเด็กที่ค่อนข้างอวบอ้วนที่ทำให้ยากต่อการสังเกตเห็นความผิดปกติของดวงตา อาการบวม มักจะเกิดขึ้นที่บริเวณเปลือกตาโดยมีหลายสาเหตุ ได้แก่

    1. อาการแพ้ เมื่อลูกน้อยสัมผัสกับสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ไรฝุ่นละออง ขนสัตว์เลี้ยง อาหาร ฯลฯ เมื่อเกิดอาการแพ้ขึ้นมักทำให้เกิดอาการทั่วไป เช่น อาการบวมแดงของเปลือกตา เป็นต้น ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรรู้ว่าลูกมีอาการแพ้อะไร เพราะอาการแพ้อาจมีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ
    2. การงอกของฟัน เนื่องจากประสาทตาและฟันเชื่อมโยงกันการ งอกของฟันอาจทำให้ตาบวมได้ค่ะ
    3. ยุงกัด ก็สามารถทำให้ตาบวมได้ อาการบวมชนิดนี้ไม่ส่งผลให้เกิดการอาการเจ็บปวดแต่เพียงแค่สร้างความรำคาญให้กับลูกน้อยเนื่องจากอาการคัน ตาบวมจากยุงกัดสามารถอยู่ได้นานถึง 10 วันโดยทั่วไปอาการบวมมีลักษณะเป็นสีชมพูหรือสีแดง
    4. การบาดเจ็บ ในบริเวณใกล้ดวงตาสามารถทำให้ดวงตาบวมแดงหรือมากกว่านั้น และบางครั้งอาจไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆทั้งๆที่ตาบวม
    5. ตากุ้งยิง(Stye) และ ตากุ้งยิงชนิดไม่เจ็บ (Chalazion)
      ตากุ้งยิง(Stye) คือการเชื้อแบคทีเรียส่งผลให้เกิดการอักเสบของรูขุมขน มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อนุ่มสีแดงเล็กๆคล้ายสิว เกิดขึ้นใกล้กับขอบเปลือกตาหรือใต้เปลือกตาและมักสร้างความเจ็บปวด ซึ่้งสามารถหายได้ภายในไม่กี่วัน
      ตากุ้งยิงชนิดไม่เจ็บ (Chalazion) เกิดจากถุงน้ำต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตัน โดยทั่วไปแล้วอาการบวมใน Chalazion นั้นใหญ่กว่าของกุ้งยิงแต่ไม่สร้างความเจ็บปวด
    6. เปลือกตาอักเสบ (Blepharitis) เปลือกตาของเราประกอบไปด้วยต่อมน้ำมันซึ่งบางครั้งอาจมีการอุดตันหรือผลิตน้ำมันมากเกินไป นอกจากอาการยังทำให้มีขี้ตามากตาแฉะ ระคายเคือง เป็นต้น
    7. เยื่อบุตาอักเสบ ภาวะที่เยื่อบุตาเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อจากไวรัส  แบคทีเรีย หรือสารก่อภูมิแพ้ ทำให้เกิดอาการ เช่น ตาบวมแดง แสบตา เป็นต้น

    การดูแลอาการตาบวมเบื้องต้นสำหรับเด็ก

    อาการตาบวมมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ตาบวม เช่น ไรฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถลดอาการบวมให้กับลูกน้อยในเบื้องต้นได้ดังนี้

    • การประคบเย็น เป็นวิธีการรักษาที่ง่ายสำหรับลดอาการตาบวม
    • น้ำนมแม่หนึ่งหยด น้ำนมแม่มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย เพื่อรักษาอาการระคายเคืองอาการบวมหรือคัน
    • รักษาความสะอาดตา การทำความสะอาดบริเวณรอบดวงตาด้วยผ้าเปียกที่สะอาดและน้ำอุ่น เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกตาบวมหรืออาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้
    • การผักเสื้อผ้าลูกน้อยควรใช้ผลิตที่อ่อนโยนต่อผิว เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ค่ะ

    ตาบวมแบบไหนควรพบแพทย์

    อาการบวมเพียงเล็กน้อยในบางครั้งอาจมีสาเหตุที่ไม่เป็นอันตรายและสามารถรักษาได้เองที่บ้าน แต่ถ้าหากถ้าพบว่าลูกน้อยมีอาการดังต่อไปนี้ควรพบแพทย์ทันทีค่ะ

    • อาการบวมอย่างรุนแรง หากลูกน้อยมีอาการตาบวมอย่างรุนแรงในดวงตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างซึ่งไม่บรรเทาลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าดวงตาที่ได้รับผลกระทบนั้นปิดสนิท
    • มีไข้ อาการบวมของดวงตาพร้อมกับไข้เป็นตัวบ่งชี้ถึงการติดเชื้อที่ควรได้รับการรักษาทันที
    • ไม่ทราบสาเหตุ หากบุตรของคุณมีอาการตาบวมเรื้อรังโดยไม่มีสาเหตุ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อสามารถระบุสาเหตุและกำหนดวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้
    • ความเจ็บปวด ควรปรึกษาแพทย์ที่สามารถช่วยบรรเทาได้ทันทีด้วยการรักษาที่เหมาะสม

    ในบางครั้งอาการตาบวมแดงของลูกน้อย อาจเป็นอันตรายเนื่องจากการติดเชื้อ คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกับดวงตาของลูกน้อยได้ค่ะ

  • ตาบอดในเด็ก

    ตาบอดในเด็ก

    ภาวะตาบอดในเด็ก

    สวัสดีค่ะ หลายคนอาจเคยได้ยินว่า “ดวงตา” เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในประสาทสัมผัสของร่างกายมนุษย์ เนื่องจากชีวิตที่ปราศจากการมองเห็นเป็นสิ่งเราต่างหวาดกลัวค่ะ และเมื่อสูญเสียไปก็ไม่สามารถหาสิ่งใดเพื่อมาทดแทนได้ สำหรับผู้เป็นพ่อแม่ความกังวลนี้มีมากขึ้นเมื่อลูกน้อยลืมตาดูโลกกว้างใบใหม่ เนื่องจากเด็กหลายคนมีภาวะตาบอดตั้งแต่กำเนิด หรือมีปัญหาเรื่องการมองเห็นเมื่อเด็กโตขึ้น และการอยู่โดยไม่มีสายตานั้นยากที่จะปรับตัว หากคุณสังเกตได้ว่าลูกน้อยไม่ตอบสนองตามแสงสว่าง หรือวัตถุเคลื่อนที่ก็อาจเป็นข้อบ่งชี้ของปัญหาทางด้านการมองเห็น ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการตาบอดในเด็ก สาเหตุและจะรักษาได้อย่างไร

    การบกพร่องทางการมองเห็นคืออะไร

    การบกพร่องทางการมองเห็นนั้นไม่จำเป็นต้องหมายความว่าลูกของคุณจะมองไม่เห็นเลย(ตาบอด) การบกพร่องทางการมองเห็นอาจหมายถึงการสูญเสียการมองเห็นอย่างสมบูรณ์ หรือการมองเห็นบางส่วนจะไม่ชัดเจน หรือแม้แต่ตาบอดสีและความผิดปกติที่เกี่ยวข้อง โดยปกติแล้วทารกจะสามารถจ้องมองหรือติดตามการเคลื่อนไหวของวัตถุได้ในช่วง 6 – 8 สัปดาห์แรก การบกพร่องทางการมองเห็นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

    1. วิสัยทัศน์ในการมองเห็นต่ำ

    การมองเห็นต่ำ หมายถึง การมองเห็นวัตถุหรือบางสิ่งได้แต่ไม่สามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เด็กในวัยของเขาควรจะมองเห็นได้ชัดเจน เช่น การมองเห็นแบบพร่ามัวไม่ชัดเจน ตาบอดสีซึ่งเด็กอาจจะไม่สามารถเห็นสีเฉพาะสีได้ เป็นต้น

    1. ตาบอด

    เด็กที่มีภาวะตาบอดไม่สามารถมองเห็นวัตถุหรือมองตามสิ่งที่เคลื่อนไหวเมื่ออายุ 8 สัปดาห์ หรือไม่สามารถโฟกัสภาพหรือวัตถุได้ เมื่อเทียบกับหลักเกณฑ์มาตรฐานการพัฒนาการทางด้านสายตาของเด็ก

    สาเหตุของการตาบอดในเด็ก

    การตาบอดในเด็กอาจมีสาเหตุหลายประการตั้งแต่อุบัติเหตุจนถึงพันธุกรรม ได้แก่

    • จอตามีความผิดปกติในทารกที่คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากสมองขาดออกซิเจนไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทำให้เซลล์สมองเสียหายส่งผลกระทบต่อหลอดเลือดที่จอตาซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการมองเห็น
    • มีเลือดออกในสมอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการตาบอดได้
    • ภาวะขาดวิตามินเอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับดวงตาที่ช่วยให้การทำงานได้ดี และช่วยป้องกันการเกิดโรคที่ส่งผลกระทบต่อดวงตา
    • อุบัติเหตุจากการมีวัตถุสิ่งแปลกปลอมเข้าตาก็สามารถทำให้ตาบอดได้เช่นกันค่ะ
    • ต้อกระจกตั้งแต่กำเนิดเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตาบอดได้ในเด็ก ซึ่งอาจเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือแม่ที่เป็นหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์
    • โรคเบาหวานในเด็กสามารถส่งผลให้จอประสาทตาซึ่งสามารถทำให้สูญเสียการมองเห็นทีละน้อย

    อาการตาบอดในเด็ก

    อาการตาบอดในเด็กอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กที่จะอธิบายตั้งแต่อายุยังน้อยก่อนที่เขาจะมองเห็นได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นการมองหาอาการสามารถช่วยให้คุณเข้าใจหากการสูญเสียการมองเห็นเกิดขึ้น ซึ่งคุณสามารถสังเกตได้ดังนี้

    • รูม่านตาของเด็กอาจมีขนาดไม่เท่ากัน หรืออาจมีสีขาวมากกว่าสีดำ
    • หากคุณวางสิ่งของหรือเดินเข้าไปข้างหน้าของลูกน้อย แต่ดวงตาของลูกไม่ขยับมองคุณ
    • ตาดูเหมือนจะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่สิ่งใด หรือไม่สามารถโฟกัสภาพหรือวัตถุได้
    • ดวงตาของลูกมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ
    • ขยี้ตาบ่อยครั้ง หรือกระพริบบ่อยเกินไป 
    • ดวงตาไวต่อแสงมากและมีน้ำตาไหลเป็นประจำ

    ผลกระทบของการตาบอดในเด็ก

    การตาบอดไม่เพียงส่งผลต่อการมองเห็นลูกเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อบุคลิกภาพด้านอื่นๆ เช่น ลูกของคุณอาจมีปัญหาในการสื่อสาร เนื่องจากเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเห็นคนโบกมือหรือแสดงท่าทางต่างๆ ปัญหาทางด้านความสัมพันธ์ทางด้านสังคมเนื่องจากไม่สามารถเล่นกับผู้อื่นได้ ไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืน ลูกของคุณอาจไม่พยายามเคลื่อนไหวเพราะไม่สามารถมองเห็นวัตถุที่น่าสนใจวางอยู่ตรงหน้า รวมถึงการเรียนรู้ที่จะเขียนและอ่านก็ยากเช่นกัน

    การรักษาอาการตาบอดในเด็ก

    การสูญเสียการมองเห็นอาจเป็นเรื่องปกติในเด็ก เช่น ภาวะตาขี้เกียจ ตาเข เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจะเริ่มทำการรักษาตั้งแต่แรกค่ะ จึงควรไปพบแพทย์หากคุณสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับสายตาของลูกน้อย และควรอธิบายถึงสัญญาณทั้งหมดที่ทำให้คุณรู้สึกว่าลูกของคุณอาจตาบอดกับแพทย์ เพราะในบางกรณีการผ่าตัดอาจเป็นคำตอบของปัญหา หรือในเด็กวัยเรียนหลายๆคนการใส่คอนแทคเลนส์หรือแว่นตาอาจเป็นทางออกของการรักษา และการขาดสารอาหารอาจทำให้ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น ดังนั้นควรให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ค่ะ การตาบอดเป็นปัญหาร้ายแรง ดังนั้นคุณควรไปพบแพทย์ทันทีที่คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติค่ะ

  • สาเหตุปัญหาสายตาในทารก

    สาเหตุปัญหาสายตาในทารก

    สุขภาพของทารกมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ซึ่งปรารถนาให้ลูกน้อยสุขภาพแข็งแรง ในช่วงวันแรกมันเป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่จะต้องกังวลและวิตกกังวลเกี่ยวกับทารก และปัญหาเกี่ยวกับดวงตาเป็นปัญหาลำดังต้นที่สร้างความกังวลสำหรับพ่อแม่ ดังนั้นบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสายตาในเด็กทารก รวมถึงการดูแลรักษาดวงตาของลูกน้อยค่ะ

    ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาของทารก คืออะไร

    ทารกแรกเกิดอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว และอาจประสบปัญหาการมองเห็น อาทิเช่น ทารกบางคนอาจมีดวงตาที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระจากกันซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พบบ่อย เนื่องจากทารกต้องใช้เวลาในการพัฒนาและเสริมสร้างกล้ามเนื้อตา และอาการเหล่านี้จะค่อยๆพัฒนาดีขึ้นเมื่อลูกอายุสามเดือน หรือมีน้ำตาไหลตลอดเวลาแม้ว่าทารกจะไม่ร้องไห้ เนื่องจากการในทารกยังไม่สามารถควบคุมการปิดกั้นท่อน้ำตาได้อย่างสมบูรณ์ เป็นต้น 

    ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาดวงตาของทารก

    ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาของทารกส่วนใหญ่เกิดจากเวลาที่ต้องใช้ในการพัฒนากล้ามเนื้อตา แต่อาจมีบางประเด็นที่ต้องใช้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรมซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาทางด้านสายตาในเด็ก ความผิดปกติเกี่ยวกับตาในเด็กทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นโรคเบาหวาน มารดาดื่มแอลกอฮอล์และใช้สารเสพติดในระหว่างตั้งครรภ์ เป็นต้น โดยปกติสารของทารกวิสัยทัศน์การมองเห็นจะค่อยๆพัฒนาไปตามเวลา ดังนั้นคุณแม่ควรทำการทดสอบปัญหาเกี่ยวกับตาอย่างละเอียดก่อนลูกน้อยอายุหนึ่งขวบ เพื่อวินิจฉัยหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อยของคุณ

    ปัญหาสายตาที่พบบ่อยที่สุดในทารก

    • เยื่อบุตาอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือท่อน้ำตาอุดตัน ส่งผลให้ตาขาวมีสีแดงหรือชมพู เปลือกตาบวม น้ำตาไหลมาก ตาแฉะมีขี้ตาเยอะคล้ายหนองสีเหลือง การรักษาเยื่อบุตาอักเสบสำหรับทารกด้วยการหยอดยาสำหรับตาที่ได้รับการสั่งจ่ายจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ในกรณีที่มีขี้ตาออกเยอะให้ใช้สำลีสะอาดชุบน้ำอุ่นเช็ดจากหัวตาไปหางตา ควรเช็ดแล้วทิ้งไม่นำกลับมาใช้ซ้ำค่ะ
    • ตาเหล่เทียม (Pseudostrabismus) มักพบในเด็กที่บริเวณสันจมูกยังโตไม่เต็มที่ และบริเวณหัวตากว้างจึงแลดูคล้ายตาเหล่เข้าใน ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นดั้งจมูกสูงขึ้นภาวะตาเหล่นี้จะหายไปได้เองค่ะ
    • เลซี่อาย (Lazy Eye) หรือ โรคตาขี้เกียจ เป็นภาวะที่ตาข้างหนึ่งมีโฟกัสมากกว่าตาอีกข้าง ส่งผลให้ตาข้างนั้นๆมองเห็นไม่ชัด และโรคตาขี้เกียจสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการสวมแว่นตาเพื่อกระตุ้นการมองเห็นที่ดีขึ้นค่ะ ในบางรายอาจต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัด

    ข้อควรระวังเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสายตา

    แม้ว่าปัญหาสายตาจะทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวล แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อกระตุ้นพัฒนาการมองเห็นของทารก อาทิเช่น การใช้ของเล่นแขวนในเปลที่เด็กสามารถโฟกัสได้ การพูดคุยกับลูกน้อยในทิศทางที่แตกต่างกัน เพื่อให้ลูกน้อยเปลี่ยนวิสัยทัศน์การมองโฟกัสมุมที่แตกต่างกัน รวมถึงการพาลูกน้อยของคุณออกไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น สวน ห้างสรรพสินค้า เพื่อสร้างความน่าสนใจกับสถานที่ต่างๆ ช่วยให้วิสัยทัศน์ของลูกน้อยคมชัดยิ่งขึ้น

    ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตทารกอย่างใกล้ชิด และหากพบปัญหาเกี่ยวกับดวงตาลูกน้อยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ โรคตาในเด็ก