Tag: สุขภาพเด็กทารก

  • ลูกถ่ายเหลวมีมูกปน ผิดปกติหรือไม่

    ลูกถ่ายเหลวมีมูกปน ผิดปกติหรือไม่

    ลูกถ่ายเหลวมีมูกปน ปัญหาสุขภาพของลูกน้อยที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านกังวล เพราะไม่รู้ว่านั่นเป็นอาการเจ็บป่วยหรือความผิดปกติด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นกับลูกน้อยหรือเปล่า ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจกันว่า การขับถ่ายเหลวมีมูกปนนั้นเกิดจากอะไร และการขับถ่ายแบบไหนที่ควรพบแพทย์ทันทีค่ะ

    การขับถ่ายของทารก

    การขับถ่ายของเด็กทารกโดยทั่วไปมักจะมีลักษณะของการถ่ายเหลวเป็นน้ำสีเหลืองมัสตาร์ดซึ่งเป็นเรื่องปกติค่ะ เนื่องจากทารกรับประทานแต่นมเท่านั้น และระบบการย่อยอาหารของลำไส้ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ แต่ถึงอย่างไรการขับถ่ายของลูกน้อยก็ยังทำให้คุณแม่หลายท่านคงยังสงสัยว่าลูกท้องเสียหรือไม่ ซึ่งการถ่ายเหลวในเด็กทารกนั้นหากคุณแม่ไม่พบอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น มีไข้ เซื่องซึม อุจจาระมีมูกเลือดปนออกมาด้วย เป็นต้น ถือว่าการถ่ายเหลวเป็นเรื่องปกติของทารกค่ะ

    มูกที่พบในอุจจาระคืออะไร

    มูกในอุจจาระ เป็นสารคัดหลั่งที่มีลักษณะคล้ายวุ้น ซึ่งผลิตโดยเซลล์เมือกที่มีอยู่ทั่วระบบทางเดินอาหาร เมือกดังกล่าวมีหน้าที่หล่อลื่นภายในลำไส้และยังทำหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างแบคทีเรียและเซลล์เยื่อบุผิวของลำไส้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานของร่างกายค่ะ

    ลูกถ่ายเป็นมูก มีสาเหตุมาจากอะไร

    สาเหตุโดทั่วไปที่ทำให้เกิดการขับถ่ายมีมูกปนในเด็กนั้น มีหลายสาเหตุได้แก่

    • การหลั่งปกติ เมือกถูกลำไส้หลั่งออกมาเพื่อช่วยในการขับถ่าย
    • การติดเชื้อ เนื่องจากระบบย่อยอาหารของลูกน้อยของคุณอาจได้รับผลกระทบจากแบคทีเรีย ซึ่งอาจทำให้มีเกิดปนออกมาด้วยหรืออมีไข้ร่วมด้วยจากอาการท้องเสีย
    • การแพ้อาหารในนมแม่ แม้ว่าคุณจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว แต่การแพ้อาการเกิดขึ้นได้จาการรับประทานอาหารของแม่ค่ะ
    • ภาวะลำไส้กลืนกัน ภาวะลำไส้กลืนกันเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อส่วนหนึ่งของลำไส้เลื่อน ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดลดลงทำให้เกิดการอักเสบค่ะ
    • Cystic fibrosis โรคปอดเรื้อรังที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ส่งผลให้เกิดการสร้างเสมหะข้นในปอด มีเมือกในตับอ่อนและอวัยวะอื่นๆ

    การรักษาทารากถ่ายเหลวมีมูกปน

    เนื่องจากเมือกเป็นเพียงตัวบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพ ดังนั้นการรักษาจึงแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อในกระเพาะอาหาร แพทย์จะแนะนำให้เพิ่มปริมาณของเหลวของทารกร่วมกับการใช้ยาสำหรับเด็ก การแพ้อาหาร คุณแม่ควรสังเกตลักษณะอุจจาของลูกน้อยและอาหารที่คุณแม่ทานเข้าไป เมื่อพบว่าเกิดจากสาเหตุอะไรควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้น ภาวะลำไส้กลืนกัน รักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อแก้ไขการทับซ้อนกันของลำไส้ค่ะ เป็นต้น

    ทารากถ่ายเหลวมีมูกปน ผิดปกติหรือไม่

    เมือกในอุจจาระของเด็กนั้นเป็นเรื่องปกติและเกิดขึ้นค่ะ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในอาหารของเด็กส่วนใหญ่ซึ่งไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ แต่ถ้าหากพบว่าลูกน้อยขับถ่ายมีเลือดปนออกมาด้วย หรือมีไข้ร่วมด้วยควรไปพบกุมารแพทย์ทันทีค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง ลูกถ่ายเหลวมีมูกปน

  • สัญญาณเตือนของปัญหาการมองเห็นในเด็ก

    สัญญาณเตือนของปัญหาการมองเห็นในเด็ก

    สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาพูดคุยในเรื่องราวของสัญญาณเตือน ลูกน้อยของคุณอาจมีปัญหาการมองเห็น ซึ่งจะมีวิธีการสังเกตและรับมืออย่างไร หากลูกน้อยของคุณกำลังประสบกับปัญหาการมองเห็นค่ะ การมองเห็นของเด็กๆนั้นมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย ได้แก่

    เด็กทารกแรกเกิด 2 – 3 วันแรก ยังมองไม่เห็นและไม่สามารถโฟกัสได้ค่ะ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องตกใจไปค่ะ เนื่องจากดวงตาและระบบภาพของทารกยังไม่พัฒนาเต็มที่ อาจจะเห็นแบบรางๆเท่านั้นค่ะ

    อายุ 1 เดือนแรกของลูกน้อย ดวงตาเริ่มทำงานร่วมกันและการมองเห็นดีขึ้น ซึ่งอาจจะมีอาการตาเหล่แสดงให้เห็นซึ่งภาวะนี้จะหายไปเมื่ออายุ 2-3 เดือนค่ะ และเป็นช่วงวัยที่คุณแม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการมองเห็นของลูกน้อยได้ เช่น การแขวนปลาตะเพียนสีสั้นสดใส เป็นต้น

    อายุ 2 – 3 เดือน เด็กๆเริ่มกลอกตาซ้ายขวาได้ ติดตามการเคลื่อนไหวของวัตถุ และเอื้อมมือไปหาสิ่งของ ยิ้มตอบสนองเมื่อคุณยิ้มค่ะ

    อายุ 4 – 8 เดือน เด็กจะเห็นภาพได้คมชัดขึ้นใกล้เคียงกับสายตาของผู้ใหญ่ ควบคู่กับการใช้มือหยิบจับ และเด็กส่วนใหญ่เริ่มคลานเมื่ออายุได้ประมาณ 8 เดือน ซึ่งจะช่วยพัฒนาการประสานงานระหว่างตาและเท้า

    อายุ 9 – 12 การทำงานของมือที่ประสานกับการทำงานของตาได้ดีขึ้น หยิบจับวัตถุด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ สามารถตัดสินระยะทางได้ค่อนข้างดีและโยนสิ่งของด้วยความแม่นยำ

    อายุ 1 – 2 ปี เด็กในวัยนี้มีความสนใจอย่างมากในการสำรวจสภาพแวดล้อม การมองและการฟังใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ค่ะ

    เนื่องจากดวงตาของทารกใช้เวลาในการปรับตัวแตกต่างตามช่วงอายุค่ะ ซึ่งทำให้สังเกตอาการที่ผิดปกติได้ยากแต่ในบางครั้งอาจมีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกถึงปัญหาการมองเห็น ได้แก่ ดวงตาข้างใดข้างหนึ่งของทารกไม่เปิด มีวัสดุสีขาว สีเทาหรือสีเหลืองในรูม่านตาของลูกน้อย ดวงตาหรือรูม่านตามีขนาดต่างกัน มีการขยี้ตาบ่อยๆ โดยไม่ใช่สาเหตุของอาการง่วงนอน ซึ่งอาจเป็นอาการปวดตา อาการคันหรือรู้สึกไม่สบาย เด็กอายุมากกว่า 1 เดือน แสงไฟโทรศัพท์มือถือหรือสิ่งรบกวนอื่นๆไม่สามารถดึงดูดความสนใจได้ หรือมีอาการไวต่อแสงสูงมาก ดวงตาของลูกน้อยไม่เคลื่อนไหวหรือกลอกตาไปมาเมื่ออายุ 3 เดือนขึ้นไป และยังคงมีอาการตาเหล่แสดงให้เห็น เป็นต้น

    นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยพบแพทย์เพื่อตรวจสอบดวงตา ความสามารถในการเคลื่อนไหวของดวงตา หากพบอาการผิดปกติซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นๆค่ะ เช่น ท่อน้ำตาอุดตัน การติดเชื้อ เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักแต่เป็นสิ่งสำคัญ การพัฒนาการมองเห็นและปัญหาสุขภาพตาที่แสดงให้เห็นตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งง่ายต่อการแก้ไขหากได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มต้นค่ะ

  • ปัญหาการหายใจในทารกแรกเกิด

    ปัญหาการหายใจในทารกแรกเกิด

    ปัญหาการหายใจในทารกพบได้บ่อยเนื่องจากระบบการทำงานของร่างกายการพัฒนายังไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้มีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่ายระบบทางเดินหายให้อาจมีปัญหาได้ค่ะ ถึงแม้ว่าเด็กที่คลอดก่อนกำหนดเป็นสาเหตุหลักของความผิดปกติของการหายใจ แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆของปัญหาการหายใจในทารกแรกเกิด ได้แก่

    • โรคทางเดินหายใจ ทารกคลอดก่อนกำหนดมีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยทางเดินหายใจตั้งแต่แรกเกิด โรคทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคปอดเรื้อรัง การติดเชื้อในอวัยวะระบบทางเดินหายใจ ฯลฯ
    • ภาวะหายใจเร็ว เกิดจากความผิดปกติของปอดส่งผลให้ทารกหายใจอย่างรวดเร็วเป็นระยะสั้นๆทันทีหลังคลอด นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการหดตัวของหน้าอกขณะหายใจเข้าและหายใจออก
    • ภาวะขาดอากาศหายใจ เป็นภาวะที่ร่างกายขาดออกซิเจนเกิดขึ้นเมื่อทารกหายใจลำบากในเวลาคลอดหรือหลังคลอดทันที
    • โรคปอดบวม เป็นการติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสหรือแบคทีเรียที่เข้าสู่ปอดและทำให้เกิดการอักเสบในทางเดินหายใจ

    สัญญาณและอาการความผิดปกติของการหายใจในเด็กทารกจะปรากฏทันทีหลังคลอด รวมถึงอาการเหล่านี้

    • เสียงไอหรือเสียงแหบแห้งขณะหายใจ ซึ่งหมายถึงการติดเชื้อในหลอดลม การอุดตันของกล่องเสียง เกิดจากการก่อตัวของเมือกลึกลงไปในจมูกและหลอดลม
    • หายใจดังเสียงวี๊ดหรือเสียงฮื้ด ถ้าลูกน้อยหายใจไม่สะดวกด้วยการหายใจดังเสียงวี๊ดและเสียงฮื้ดขณะหายใจออก อาจเป็นโรคหอบหืดได้ค่ะ
    • หายใจเร็วในทารกแรกเกิด อาจเป็นสัญญาณของโรคปอดบวมหรือโรคปอดอักเสบซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลให้หายใจเร็วต่อเนื่องไอเล็กน้อยและเสียงแตก
    • การหายใจตื้นๆด้วยการหดตัว เช่น การยุบตัวของช่วงอกในขณะที่หายใจเข้าและหายใจออก
    • ผิวหนังมีสีฟ้าเขียวบริเวณจมูก หน้าผาก คอหรือปาก หากทารกมีการเปลี่ยนสีผิวหรือบริเวณดังกล่าวอาจแสดงได้ว่าลูกของคุณอาจไม่ได้รับออกซิเจนที่เพียงพอ
    • รูจมูกที่บานขณะสูดออกซิเจนแสดงให้เห็นว่า ทารกพยายามสูดลมหายใจเข้าแม้ว่าจะไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรงใดๆ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์

    ปัญหาการหายใจทั่วไปที่พบบ่อยในทารก ได้แก่

    • การคัดจมูก ปัญหาการหายใจที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่งในเด็กทารกแต่ไม่ใช่สาเหตุที่ร้ายแรง สามารถรักษาด้วยการดูดน้ำมูกออกค่ะ
    • เสียงแหลม ซึ่งถือว่าไม่เป็นอันตรายค่ะเกิดจากเนื้อเยื่อส่วนเกินบริเวณกล่องเสียงของเด็กทารกและอาการนี้จะหายไปเมื่อโตขึ้น
    • หายใจด้วยเสียงหวีด ที่เกิดจากเสียงผิวปากเมื่อจมูกเล็กๆมีการอุดตันเนื่องจากมูกหรือน้ำนมแห้ง ทำให้ทางเดินหายใจของลูกน้อยมีขนาดเล็กลงจึงทำให้หายใจลำบาก
    • เด็กหายใจเร็วหรือหอบ มักเกิดขึ้นตามปกติหากไม่มีอาการอื่นๆร่วมด้วยที่บ่งชี้ถึงความเจ็บป่วยก็ไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ
    • อึดอัดแน่นหน้าอก เนื่องจากการย่อยนมหรือสำรอกที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นการอุ้มให้ลูกน้อยเรอทุกครั้งหลังจากกินนมจะช่วยให้รู้สึกสบายท้องค่ะ

    การดูแลและรักษาปัญหาการหายใจของทารก ในกรณีที่มีเสียงรบกวนและการหดตัวหรือช่วงอกอย่างรุนแรงให้รีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุที่ถูกต้องและทำการรักษาต่อไปค่ะ การดูแลลูกน้อยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองที่จะเข้าใจรูปแบบการหายใจของทารก เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบได้เมื่อเด็กมีปัญหาจากการหายใจไม่สม่ำเสมอ ซึ่งจะต้องรู้สึกถึงลมหายใจของทารกอย่างสม่ำเสมอและสังเกตเห็นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นค่ะ

    ปัญหาการหายใจในทารกแรกเกิดค่อนข้างบ่อยในทุกวันนี้ อาจเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยทางเดินหายใจอย่างรุนแรงในทารกได้ แต่ด้วยการดูแลอย่างเหมาะสมของคุณพ่อคุณแม่และการดูแลทางการแพทย์ทันทีโรคนี้สามารถรักษาได้และจะช่วยฟื้นฟูรูปแบบการหายใจปกติได้ค่ะ

  • 15 ปัญหาสุขภาพของทารกที่พบบ่อย

    15 ปัญหาสุขภาพของทารกที่พบบ่อย

    สุขภาพของลูกน้อยเป็นสิ่งสำคัญค่ะเพราะเราเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกน้อยคลอดออกมามีสุขภาพและร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ แต่ทารกแรกเกิดนั้นมีความเสี่ยงการเจ็บป่วยหรือการติดเชื้อต่างๆได้ง่าย เนื่องจากการเจริญเติบโตของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันต่อโรคต่างๆนั้นยังไม่สมบูรณ์เมื่อเทียบกับช่วงวัยอื่นๆ แม้การเจ็บป่วยเล็กน้อยก็สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ และนี้คือเหตุผลที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะเข้าใจพร้อมรับมือกับอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับทารกค่ะ ดังนั้นวันนี้เรารวบรวมปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในทารกแรกเกิดมาฝากดังต่อไปนี้

    การบาดเจ็บจากการคลอด
    การบาดเจ็บจากการคลอดเกิดขึ้นในกรณีที่การคลอดลำบากอาจทำให้คุณเกิดการบาดเจ็บจากการคลอดได้ ทารกส่วนใหญ่บาดเจ็บไม่รุนแรงและฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการบาดเจ็บค่ะ

    โรคดีซ่าน
    โรคดีซ่านเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทารกหลายคนเกิดมาพร้อมกับอาการตัวเหลืองในทารกแรกเกิด ทารกหลายคนมีระดับบิลิรูบินสูงเมื่อแรกเกิดเนื่องจากตับยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ โรคดีซ่านในทารกแรกเกิดจะหายไปตามเวลา แต่ก็สามารถทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงได้เช่นกันค่ะ โดยแพทย์จะทำการประเมินและรักษาทารกต่อไปค่ะ

    ภาวะตัวเขียวม่วง
    ภาวะตัวเขียวม่วงโดยปกติเด็กแรกเกิดจะมีมือและเท้าสีเขียวม่วง ในบางกรณีสามารถเกิดอาการบวมรอบปากและลิ้นในขณะที่ร้องไห้ ซึ่งจะจางหายไปเมื่อการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น แต่ถ้าไม่ยอมจางหายไปต้องรีบพบกุมารแพทย์ทันทีค่ะ

    โรคโลหิตจาง
    โรคโลหิตจางคือการขาดฮีโมโกลบินบ่งบอกระดับของออกซิเจนในเลือด ซึ่งโรคโลหิตจางที่ไม่ได้รับการรักษาอาจร้ายแรงและเสียชีวิตได้ค่ะ

    โคลิค
    อาการโคลิคเกิดเมื่อลูกน้อยของคุณร้องไห้โดยไม่หยุดพัก ซึ่งส่วนใหญ่เกิดการอาการจุกเสียดไม่สบายท้องเพราะโดยปกติทารกเมื่อรู้สึกไม่สบายจะแสดงออกด้วยการร้องไห้ อาการโคลิคมักหายไปเมื่อทารกอายุ 3 เดือน

    ปัญหาระบบทางเดินหายใจ
    โดยปกติการหายใจของเด็กทารกจะใช้เวลา 2 – 3 ชั่วโมงกว่าที่ทารกแรกเกิดจะหัดหายใจได้ตามปกติ ซึ่งหากมีปัญหาการหายใจจากการอุดตันของจมูกแพทย์จะทำการตรวจสอบและรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

    โรคหวัด
    การติดเชื้อไวรัสอย่างหวัดนั้นเป็นเรื่องธรรมดาในเด็กๆและไม่เป็นอันตรายสามารถรักษาให้หายได้ แต่สำหรับเด็กทารกโรคหวัดที่ง่ายสามารถเปลี่ยนเป็นโรคปอดบวมและโรคร้ายแรงอื่นๆได้ค่ะ ควรพบแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดค่ะ

    ไข้
    ไข้เป็นตัวบ่งชี้ว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อ หากทารกมีไข้สูงควรได้รับการรักษาทันทีเพราะสามารถนำไปสู่อาการชักที่ร้ายแรงเป็นอันตรายและทำให้สมองเสียหายได้ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วนค่ะ

    อาเจียน
    การอาเจียนเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในทารก เป็นเรื่องปกติสำหรับทารกที่แหวะนมออกมาหลังจากดูดนม ดังนั้นหลังกินนมทุกครั้งควรให้ลูกน้อยเรอซึ่งช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกสบายท้องลดการแหวะนมออกมา แต่ในกรณีที่ลูกอาเจียนหรือแหวะนมมากกว่า 5 ครั้งต่อวัน หรืออาเจียนมีสีเขียวควรพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ

    อาการไอ
    อาการไอเป็นเรื่องปกติที่เด็กเมื่อกินนมเพราะบางครั้งน้ำนมอาจไหลเร็วเกินไป หากมีอาการไออย่างต่อเนื่องและไม่ดูดนมอาจบ่งบอกถึงปัญหาของปอดหรือระบบย่อยอาหาร แต่ถ้ามีอาการไออย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในเวลากลางคืออาจเกิดจากปัญหาระบบทางเดินหายใจหรือโรคไอกรนในเด็กได้

    ปัญหาผิว
    เนื่องจากทารกมีผิวหนังที่บอบบาง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะประสบปัญหาผิว เช่น ผื่นผ้าอ้อมซึ่งเป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด ผิวหนังลอกเป็นขุย เป็นต้น

    การติดเชื้อที่หู
    การติดเชื้อที่หูเป็นโรคของทารกทั่วไป โดยมักจะแสดงอาการการดึงที่หูพร้อมกับการร้องไห้งอแงมากกว่าปกติ การติดเชื้อไวรัสสามารถรักษาให้หายได้ในเวลาไม่กี่วัน แต่การติดเชื้อแบคทีเรียสามารถนำไปสู่การสูญเสียการได้ยินและอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา

    ลิ้นฝ้าขาว
    ลิ้นฝ้าขาวเกิดจากการติดเชื้อราที่เกิดขึ้นในปากของเด็กทารก ทำให้ลูกน้อยงอแง ไม่ดูดนมเนื่องจากเชื้อราจับหนาที่ลิ้น น้ำหนักลด ฯลฯ อาการลิ้นฝ้าขาวต้องได้รับการรักษาและตรวจสอบกับแพทย์ว่ารุนแรงหรือไม่ค่ะ

    อาการท้องเสีย
    ท้องเสียเป็นปฏิกิริยาที่พบบ่อยจากการติดเชื้อในทารก ควรดูแลอย่างใกล้ชิดและสังเกตอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ เช่น มีไข้ ถ่ายเหลวบ่อยครั้งในหนึ่งวัน สีของอุจจาระ เป็นต้น หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ

    อาการท้องอืด
    ถ้าท้องลูกน้อยของคุณรู้สึกแข็งและบวมเนื่องจากมีก๊าซหรือจากอาการท้องผูก ดูแลรักษาด้วยการให้ลูกน้อยเรอทุกครั้งหลังจากดูดนม เป็นต้น แต่ในบางครั้งอาการท้องบวมสามารถบ่งบอกถึงปัญหาของอวัยวะภายในได้เช่นกันค่ะ ควรสังเกตว่าลูกน้อยมีอาการอื่นๆร่วมด้วยหรือไม่

    สิ่งเหล่านี้มีผลต่อทารกเกือบทั้งหมดเพื่อปรับตัวเข้ากับโลกภายนอก แต่การที่มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังไม่แข็งแรง โรคทั่วไปที่พบได้บ่อยและไม่รุนแรงนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกตรวจสุขภาพตามกำหนดและเมื่อพบอาการผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้นควรรีบพบกุมารแพทย์ทันทีค่ะ

  • ทารกจามบ่อยผิดปกติไหม?

    ทารกจามบ่อยผิดปกติไหม?

    เด็กๆจะทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมดค่ะ แม้แต่เสียงจามหรือหน้าของลูกน้อยที่ดูตลก แต่สำหรับคุณพ่อคุณแม่อาจตามมาด้วยความกังวลต่างๆการจามบ่อยๆเกิดการความผิดปกติกับลูกน้อยหรือไม่ ดังนั้นวันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจามของลูกน้อยแบบไหนที่ต้องระวังค่ะ

    ทารกแรกจามบ่อยถือเป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกับช่วงวัยอื่นค่ะ พบได้บ่อยเช่นเดียวกับการผวาหรือสะอึกค่ะ การจามเกิดขึ้นเพื่อล้างฝุ่นละอองในทางจมูก หรือเพื่อขจัดความแออัดในระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากอากาศที่เราหายใจนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นละออง เชื้อโรคและสิ่งสกปรกอื่นๆ ร่างกายจึงทำความสะอาดระบบทางเดินหายใจด้วยการจาม ดังนั้นอาการจามหรือของลูกน้อยหากไม่มีไข้หรืออาการอื่นๆร่วมด้วยคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลค่ะเพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับเด็กๆค่ะ

    สาเหตุของการจามในทารก

    เด็กทารกส่วนใหญ่ลักษณะใจการหายใจนั้นคือการสูดอากาศสั้นๆอย่างรวดเร็ว จากนั้นหายใจช้าๆตามปกติเมื่อโตขึ้น และการจามเป็นอาการที่พบบ่อยในทารกแรกโดยสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดได้แก่

    • ล้างสิ่งสกปรกในจมูก เนื่องจากจมูกเด็กยังแคบทำให้ฝุ่นละอองหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าภายในจมูกเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ดังนั้นการจามเพื่อช่วยล้างฝุ่นละอองสิ่งสกปรกให้การหายใจได้สะดวก
    • ทารกส่วนใหญ่มักประสบกับรูจมูกปิดกั้นชั่วคราว เช่น เวลาดูดนมแม่จึงทำให้ทารกจามเพื่อให้กลับมาหายใจได้สะดวก
    • อากาศแห้งโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวหรืออากาศเย็นจากห้องแอร์ อาจให้เมือกในจมูกเล็กๆของทารกแห้ง
    • การเจ็บป่วย เพราะในบางครั้งการจอมของทารกอาจเป็นสัญญาณของโรคหวัดได้เช่นกันค่ะ
    • โรคภูมิแพ้บางอย่าง ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทารกมีอาการจามบ่อย คัดจมูกน้ำมูกไหล

    ถึงแม้ว่าอาการจามของทารกจะเป็นเรื่องปกติค่ะ แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่พบว่าทารกมีอาการอื่นๆร่วมด้วยกับการจามบ่อยๆควรพาลูกน้อยพบแพทย์ทันที เช่น มีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ร่วมกับการจามตลอดเวลา หายใจเร็ว หรือหอบเหนื่อย หรือหายใจติดขัดลำบาก ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจได้ค่ะ ทารกไม่ดูดนมเบื่ออาหาร ซึม ไม่ร่าเริงแจ่มใส หรือในบางรายมีภาวะแพ้ง่าย เช่น แพ้อาการ เกสรดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งอาจนำไปสู่ของโรคภูมิแพ้ได้ คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัดต่อไปค่ะ 

    ทารกแรกเกิดมักเต็มไปด้วยความลึกลับ การพัฒนาการของลูกน้อย เพียงแค่ใจเย็นๆและสนุกไปกับการเดินทางไปพร้อมกับเด็กๆ ซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งแปลกใหม่และมีความสุขไขปริศนาของคุณพ่อคุณแม่ เพียงแค่ใจเย็นๆและสนุกไปกับการเดินทางของความเป็นพ่อแม่นี้ มีความสุขในการเลี้ยงดู

  • ทารกมือเท้าเย็น ปกติหรือไม่

    ทารกมือเท้าเย็น ปกติหรือไม่

    เมื่อลูกของคุณพ่อคุณแม่มือเย็นท้าเย็นแต่ไข้ไม่ขึ้น มักจะตามมาด้วยหลากหลายคำถามและความสับสนมากขึ้น ซึ่งอาการมือเท้าเย็นเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่เนื่องจากเด็กทารกแรกเกิด มีโอกาสมือเท้าเย็นกว่าอวัยวะอื่น ๆ ได้ค่ะ โดยไม่มีอาการเจ็บป่วยใดเกิดขึ้น

    ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าลูกน้อยของคุณมีอาการเท้าและมือที่เย็น แต่ดูเหมือนว่าจะสบายดีซึ่งหากไม่มีอาการไม่สบายหรือร้องไห้คุณสามารถวางใจได้ค่ะว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กทารกค่ะ

    สาเหตุทารกมือเย็นเท้าเย็น

    เด็กทารก

    เด็กทารกเพิ่งคลอดออกมาการพัฒนาของเด็กก็ยังคงไม่สมบูรณ์ค่ะและยังคงมีการพัฒนาต่อไปค่ะ เช่นเดียวกับระบบหมุนเวียนของเลือดในร่างกายเด็กทารก โดยร่างกายจะส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆที่สำคัญๆในอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นหลักก่อนค่ะ จึงทำให้อวัยวะอย่างมือและเท้ามีโอกาสรับเลือดช้ากว่าอวัยวะส่วนอื่นๆ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมือเท้าถึงเย็นค่ะ

    โดยทั่วไปแล้วอาการมือเท้าของลูกน้อยอาจจะเย็น ซึ่งอาจทำให้ลูกน้อยของคุณหงุดหงิดไม่สบายตัวค่ะ และคุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยในกรณีที่มีอาการมือเท้าเย็นได้ด้วยการสวนใส่เสื้อผ้า ถุงมือ ถุงเท้าที่ปกปิดร่างกายมิดชิด หรือสวมเสื้อกันหนาวหากอุณหภูมิโดยรอบมีความเย็น อาจใช้ผ้าห่มเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย แต่ไม่ควรทับถมเสื้อผ้าและผ้าห่มจนทำให้ลูกน้อยรู้สึกอัดอัดจนเกินไปค่ะ และหากพบว่าลูกน้อยของคุณมีอุณหภูมิสูง ร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานาน มีไข้หรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วยให้พาลูกน้อยไปพบแพทย์ทันทีค่ะ

    ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่อาจรู้สึกว่ามือและเท้าของทารกนั้นเย็นอยู่ตลอดเวลาและจะเป็นไปตลอดหรือเปล่า แต่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้นค่ะเมื่อลูกน้อยเติบโตขึ้นอายุประมาณ 3 เดือนขึ้นไป ระบบการไหลเวียนของเลือดและระบบการทำงานต่างๆของร่างกายมีการพัฒนาที่ดีขึ้น อวัยวะต่างๆของลูกน้อย มือเท้าจะอบอุ่นขึ้นค่ะ สังเกตได้จากร่างกายของลูกน้อยมีสีชมพูขึ้นหรือในกรณีที่ลูกน้อยของคุณยังมีอาการมือเท้าเย็น คุณพ่อคุณแแม่สามารถนวดตัวลูกหรือการออกกำลังกายด้วยการยกแข้งยกขา เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของระะบบไหลเวียนสมบูรณ์เร็วขึ้นค่ะ

  • โรคไอกรนในเด็ก

    โรคไอกรนในเด็ก

    โรคไอกรนในเด็ก

    โรคไอกรนในเด็ก อันตรายใกล้ตัวลูกน้อยอาการคล้ายโรคหวัดค่ะ โรคไอกรนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยค่ะ แต่มีความรุนแรงหากเกิดขึ้นกับลูกน้อยของคุณเสียงเสียชีวิตได้ ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจหร้อมกับวิธีการป้องกัน ดูแลรักษาโรคไอกรนในเด็กค่ะ

    โรคไอกรน คือการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบอร์เดเทลลา เพอร์ทัสซิส ทำให้เกิดอาการไอรุนแรงอย่างต่อเนื่อง หายใจลำบาก ลักษณะอาการทั่วไปจะคล้ายกับโรคไข้หวัดทั่วไป โรคไอกรนสามารถติดต่อกันได้ง่ายผ่านสารคัดหลั่งละอองของเสมหะ น้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วยจากการไอ จาม รวมถึงการใกล้ชิดการหายใจร่วมกับผู้ป่วย โรคไอกรนในเด็กที่พบบ่อยมักเกิดจากการได้รับวัคซีนป้องกันที่ยังไม่ครบ หรือในบางรายอาจยังไม่เคยได้รับวัคซีน รวมถึงติดจากบุคคลใกล้ชิด โรคไอกรนในทารกและเด็กอันตรายเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตค่ะ

    อาการโรคไอกรนในเด็ก

    โรคไอกรนมระยะฟักตัว 5-10 วันหลังจากได้รับเชื้อหรือในบางรายอาจนานกว่านั้น อาการของโรคไอกรนในเริ่มแรกอาจคล้ายกับโรคไข้หวัด เช่น มีน้ำมูกไหล ไอจาม ไอเล็กน้อยหรือในบางรายไม่แสดงอาการไอ เป็นต้น หลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะมีอาการไอต่อเนื่องรุนแรงเป็นเวลานาน ทำให้หายใจลำบาก ในบางรายไอจนริมฝีปากเขียว ตัวเขียวเนื่องจากขาดออกซิเจน หรือไอจนหยุดหายใจซึ่งเป็นอันตรายเสี่ยงเสียชีวิตได้ค่ะ เช่น  ภาวะหยุดหายใจชั่วคราว โรคปอดบวม โรคกลุ่มอาการทางสมอง การติดเชื้อที่ปอด เป็นต้น

    การรักษาโรคไอกรนในเด็ก

    การรักษาโรคไอกรนในเด็กนั้นเป็นการรักษาตามอาการ เพื่อประคับประคองอาการและลดการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งแพทย์จะทำการรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้ ทานยาให้ครบตามกำหนอ ฯลฯ

    การป้องกันโรคไอกรน

    โรคไอกรนในเด็กสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโดยเด็กจะเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่ออายุ 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน, 18 เดือน และเข็มที่ 5 เมื่ออายุ 4-6 ขวบ และฉีดอีกครั้งตอนอายุ 10-12 ขวบ และหลังจากนั้นควรได้รับวัคซีนกระตุ้นทุก 10 ปีค่ะ รวมถึงการดูแลรักษาสุขอนามัยที่ดีค่ะ

    ปัจจุบันโรคนี้พบได้น้อยมากเนื่องจากมีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคไอกรนค่ะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเจ็บป่วยทุกครั้งจะไม่รุนแรงหากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม การเริ่มการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆคือกุญแจสำคัญในการรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

  • Overfeeding ในเด็กทารก

    Overfeeding ในเด็กทารก

    Overfeeding คือพฤติกรรมของลูกน้อยที่กินนมเยอะเกินไป หรือกินจนล้นกระเพาะ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของระบบการย่อยอาหาร ท้องโต ท้องอืด ไม่สบายท้อง อาเจียนแวะนม เป็นต้น ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กที่ดูดนมจากเต้าและจากขวดนม วันนี้เราจะพาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่มาทำความเข้าใจอาการ Overfeeding ในเด็ก รวมถึงวิธีการรับมือและการป้องกันค่ะ

    อะไรคือสาเหตุของการกินนมมากเกินไป

    โดยทั่วไปเด็กทารกจะกินนมเมื้อรู้สึกหิวและจะหยุดเมื่อรู้สึกอิ่ม ดังนั้นสาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่คุณแม่บางท่าน อาจเข้าใจว่าลูกตื่นนอนหรือร้องไห้เพราะหิว หรือกังวลว่าลูกน้อยอาจได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจึงพยายามป้อนนมในปริมาณที่มากเกินไปหรือบ่อยเกินไปค่ะ ซึ่งพบได้ทั้งเด็กที่กินนมแม่และนมผงหรือจากเต้าและจากขวดนมค่ะ แต่พบว่าเด็กที่กินนมผงมีโอกาสเสี่ยงการเกิดภาวะ Overfeeding มากกว่าเด็กที่กินแม่ เนื่องกระเพาะอาหารและลำไส้ของเด็กทารกสามารถดูดซึมสารอาหารในนมแม่ได้ดี อาการของทารกที่ได้รับอาหารมากไป ส่วนใหญ่สามารถสังเกตได้ค่อนข้างง่าย เช่น ร้องไห้งอแง อึดอัดแน่นท้องหรือรู้สึกไม่สบายท้อง แหวะนมมากกว่าปกติและอาจถ่ายเหลวร่วมด้วย เป็นต้น

    Overfeeding ในเด็กทารกอันตรายอย่างไร

    การกินนมอิ่มมากเกินไปหรือล้นกระเพาะในเด็กทารกนั้น มีผลกระทบต่อตัวลูกน้อยมากที่สุดคือ อึดอัดไม่สบายตัว ร้องไห้งอแง การแหวะนม แต่ถึงอย่างไรก็มักจะส่งผลกระทบในระยะยาวได้เช่นกันค่ะ เช่น โรคอ้วน เนื่องจากร่างกายอาจมีการปรับตัวเพื่อรับสารอาหารและเริ่มกักเก็บสารอาหารไขมัน ทำให้มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นหรือเกินเกณฑ์ตามแต่ละช่วงวัย ส่งผลให้เป็นโรคอ้วนในเด็กได้ และอาจตามมาด้วยโรคอื่นๆได้ค่ะ

    การป้องกันการให้อาหารมากไปในเด็ก โดยเคล็ดลับง่ายๆเพื่อการลดโอกาสเสี่ยงที่จะให้เกิดการให้นมลูกน้อยมากเกินไป ได้แก่

    • การให้กินนมในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งทั่วไปการกินนมในปริมาณ 4 ออนซ์ ลูกจะอิ่มท้องประมาณ 4 ชั่วโมง
    • ลูกกินนมเพียงพอในหนึ่งวันหรือไม่ สามารถสังเกตได้จากจำนวนการปัสสาวะของเด็ก 6 ครั้งในหนึ่งวัน หรืออุจจาระ 2 ครั้งในหนึ่งวัน เป็นต้น
    • สังเกตอาการหรือสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกน้อยอิ่ม คือ เบือนหน้าหนี การดูดนมช้าลงหรือเว้นช่วงการดูดนานขึ้น เป็นต้น
    • อย่าพยายามเลี้ยงลูกด้วยการให้กินนมทันทีที่เขาเริ่มร้องไห้ เนื่องจากการร้องไห้อาจแสดงถึงอาการอื่นได้

    การให้อาหารมากไปเด็กทารกแรกเกิดเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องตระหนักถึงและให้ความสำคัญค่ะ เพราะอาจนำไปสู่อาการหรือโรคอื่นๆได้ค่ะ

  • ซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic fibrosis)

    ซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic fibrosis)

    ซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic fibrosis)

    สวัสดีค่ะ

    วันนี้เรากลับมาพบกันกับเรื่องราวสุขภาพของลูกน้อย วันนี้จะพูดคุยกันเกี่ยวกับโรคอะไรตามมาเลยจ้า

    โรคทางพันธุกรรม “ซิสติก ไฟโบรซิส”  (cystic fibrosis : CF) เป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่พบได้น้อย และก่อให้เกิดความผิดปกติเสียหายที่รุนแรงของปอดและอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ ต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำลาย ระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น โรคทางพันธุกรรมนี้ส่งผลให้เกิดการสร้างสารคัดหลั่ง เสมหะเมือกเหนียวข้นในปอด และอวัยวะอื่นๆในร่างกาย ส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังติดเชื้อได้ง่ายอันตรายถึงขึ้นเสียงชีวิตได้ค่t

    สติก ไฟโบรซิสเกิดจากความผิดปกติของยีน cystic fibrosis ที่สืบทอดผ่านพันธุกรรมที่ได้รับมากจากพ่อและแม่อย่างคนละอัน แต่หากได้รับยีนผิดปกติมาจากทางพ่อ หรือแม่เพียงฝ่ายเดียวก็อาจไม่เกิดอาการหรือความผิดปกติใดๆ แต่คุณจะเป็นพาหะและสามารถส่งต่อยีนนี้ไปให้ลูกตัวเองได้

    อาการของ “ซิสติก ไฟโบรซิส” พบได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิด เช่น ทารกอายุ 1 – 2 วันหลังคลอดเกิดอาการลำไส้ไม่ทำงาน น้ำหนักตัวน้อย การเจริญเติบโตช้า เป็นต้น อาการส่วนใหญ่พบได้บ่อยก่อนอายุ 3 ปี ลักษณะอาการและความรุนแรงมักแตกต่างกันไป เช่น อาการความผิดปกติระบบทางเดินหายใจ เช่น หายใจลำบาก มีเสียงหวีด คัดจมูก แน่นจมูกตลอดเวลา ปอดบวมบ่อย เป็นต้น อาการผิดปกติระบบทางเดินอาหาร เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องผูกรุนแรง ลำไส้อุดตัน ปวดท้องหรือจุกแน่นท้อง อุจจาระมันและมีกลิ่นเหม็น เกิดภาวะดีซ่าน เป็นต้น ความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ เช่น ภาวะมีบุตรยากในเพศชาย เกิดถุงน้ำในอัณฑะ ภาวะอัณฑะค้างหรืออัณฑะไม่ลงถุง ภาวะขาดประจำเดือน เป็นต้น นอกจากนี้ โรคนี้ยังส่งผลให้อวัยวะต่างๆทำงานผิดปกติและอาจทำให้เกิดการติดเชื้อต่างๆได้ง่าย และอาจทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ลำไส้อักเสบ เป็นต้น

    การดูแลรักษาและการป้องกัน “ซิสติก ไฟโบรซิส” โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ค่ะ เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากพันธุกรรมที่ได้รับจากพ่อและแม่ ดังนั้น การรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะกรณีที่เกิดการติดเชื้อ ยาละลายเสมหะ เพื่อละลายเสมหะและให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น และในบางรายอาจต้องได้รับการผ่าตัดในกรณีที่เกิดการอุดตันของสำไส้ เป็นต้น

    ปัจจุบันยังไม่พบรายงานของผู้ป่วยโรคนี้ในประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการเกิดโรคดังกล่าวในไทย คุณพ่อคูแม่ไม่ความมองข้ามค่ะ การดูแลสุขภาพร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เมื่อพบความผิดของร่างกายของลูกน้อย ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

  • ทำไมประกันสุขภาพเด็กจึงมีความสำคัญ

    ทำไมประกันสุขภาพเด็กจึงมีความสำคัญ

    ทำไมประกันสุขภาพสำหรับเด็กจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะเด็กในวัยอนุบาล เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกจากที่เคยเป็นเด็กสุขภาพแข็งแรง ไม่เคยป่วยกลับกลายเป็นป่วยบ่อยขึ้น เป็นหวัดไม่หายสักที รวมถึงโรคติดต่อที่พบได้บ่อยในเด็ก เช่น โรคไวรัสลงกระเพาะ โรคมือ เท้า ปาก โรคไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น เนื่องจากการอยู่ร่วมกันของเด็กหลายๆคน การคลุกคลีใกล้ชิดกันของเด็กๆในบริเวณที่จำกัด โรงเรียนจึงเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียต่างๆมากมาย ทำให้เด็กมีโอกาสที่จะสัมผัสกับเชื้อโรคและสามารถติดเชื้อต่างๆได้ง่าย ซึ่งสร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกในวัยนี้เป็นอย่างมาก เพราะการที่เด็กๆเข้าโรงเรียนแล้ว เราจะป้องกันไม่ให้เด็กเจ็บป่วยนั้นเป็นไปได้ยากมากค่ะ เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้เลยว่า ลูกเราจะได้รับเชื้อโรคหรือเชื้อแบคทีเรียอะไรบ้าง และร่างกายของลูกจะมีภูมิต้านทานต่อไวรัสทุกตัวที่มีอยู่หรือไม่ รวมถึงการรักษาพยาบาลในแต่ละครั้งที่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายที่ค่อยข้างแพง เป็นต้น และจะดีกว่าไหมหากมีการเตรียมพร้อมเมื่อลูกเจ็บป่วย ด้วยการทำประกันสุขภาพสำหรับเด็ก จะทำให้ลูกรักได้รับการรักษาที่ดีที่สุด ไม่ต้องลังเลที่จะเลือกโรงพยาบาลทีจะเข้ารับการรักษา และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างมากค่ะ

    ทำไมต้องประกันสุขภาพเด็ก

    เหตุผลที่ทำไมประกันสุขภาพสำหรับเด็กจึงมีความสำคัญ
    – เด็กที่มีประกันมักจะมีแหล่งบริการและการดูแลที่ได้มาตรฐานที่ดีที่สุด เพราะสามารถเลือกรับบริการการรักษาจากโรงพยาบาลเอกชนหรือโรงพยาบาลที่ดีที่สุด โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆในระหว่างการรักษา เนื่องจากได้รับการคุ้มครองจากการทำประกันนั้นๆค่ะ
    – การได้รับบริการด้านการดูแลสุขภาพตามที่ต้องการ รวมถึงบริการด้านสุขภาพขั้นพื้นฐาน เช่น การฉีดวัคซีน เป็นต้น
    – ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่อุ่นใจ ลดภาระค่าใช้จ่ายต่างๆในการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เพราะการทำประกันเราจะได้รับความคุ้มครองสุขภาพในทุกๆกรณี ไม่ว่าจะเจ็บเพียงเล็กน้อย หรือโรคร้ายแรงตามที่ซื้อประกันไว้ค่ะ
    – ป้องกันการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยที่อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงได้ค่ะ เพราะส่วนใหญ่หากมีการเจ็บป่วยเริ่มต้นจะยังไม่ไปพบแพทย์เนื่องจากกลัวว่าจะต้องเสียค่ารักษาพยาบาลที่แพง และให้ทานยารักษาอาการเบื้องต้นที่พบ ซึ่งบางครั้งการไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธีจากแพทย์นั้นสามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงได้ค่ะ

    เพราะสุขภาพลูกเป็นสิ่งสำคัญ จะดีกว่าไหมหากเราสามารถวางแผนเรื่องการดูแลสุขภาพของลูกได้ การทำประกันให้กับลูกจึงเป็นทางเลือกที่คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองไม่ควรมองข้ามค่ะ