Tag: วัคซีน

  • วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (DTaP) การป้องกันที่สำคัญสำหรับเด็ก

    วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (DTaP) การป้องกันที่สำคัญสำหรับเด็ก

    การฉีดวัคซีนเป็นส่วนสำคัญของแผนการดูแลสุขภาพของเด็ก มีบทบาทสำคัญที่ช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและป้องกันเชื้อโรคต่างๆ และวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน เป็นหนึ่งในวัคซีนที่สำคัญสำหรับเด็กๆค่ะ 

    วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรนคืออะไร

    วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTaP : Diphtheria-Tetanus-Pertussis vaccine) คือวัคซีนสำหรับป้องกันกลุ่มโรค 3 ชนิด ได้แก่ โรคคอตีบ บาดทะยักและโรคไอกรน พบบ่อยในเด็กอายุระหว่าง 1 – 6 ปี และเป็นอีกหนึ่งโรคอันตรายซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ และมีการระบาดของโรคในหลายพื้นที่สามารถเกิดขึ้นได้ในเด็กและผู้ใหญ่ค่ะ 

    • โรคคอตีบ เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียโครินแบคทีเรีย ดิพทีเรีย เฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีและผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 40 ปี โรคนี้ทำให้ลำคออักเสบรุนแรงเกิดอาการเจ็บคอ มีไข้สูง ในบางรายอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง ได้แก่ ทางเดินหายใจตีบตัน หัวใจล้มเหลว เป็นต้น ทำให้เสียชีวิตได้ค่ะ โรคนี้เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายโดยการหายใจ ไอ หรือจามรดกันค่ะ
    • โรคบาดทะยัก บาดทะยักไม่ใช่โรคติดต่อและเกิดจากแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในดินและฝุ่น แบคทีเรียเหล่านี้เข้าสู่บาดแผลและการเจาะบนผิวหนัง แล้วปล่อยสารพิษออกมาทำลายระบบประสาททำให้กล้ามเนื้อกระตุกอย่างรุนแรง ขากรรไกรแข็ง ชักและรุนแรงจนเสียชีวิตได้
    • โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่รุนแรงโดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายโดยการหายใจ ไอ หรือจามรดกัน โรคนี้ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง กลืนลำบาก หายใจไม่สะดวก เป็นต้น โรคไอกรนสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น โรคปอดบวม ชักและทำให้เสยชีวิตได้ค่ะ

    กำหนดการรับวัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (DTaP)

    การฉีดวัคซีน DTaP ป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยักและไอกรน โดยสามารถฉีดได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 2-3 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะต้องทั้งมด 5 เข็ม โดยแบ่งเป็นระยะๆเมื่ออายุ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน 18 เดือน และฉีดกระตุ้นเมื่ออายุ 4 – 6 ปี หลังจากนั้นจะฉีดกระตุ้นเฉพาะวัคซีนคอตีบและบาดทะยัก Td ทุกๆ 10 ปีค่ะ สำหรับเด็กที่ได้รับวัคซีนไม่ต่อเนื่องตามกำหนดไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นฉีดใหม่ค่ะ สามารถนับรวมเข็มที่ฉีดไปแล้วทั้งหมดค่ะ โดยยึดหลักว่าเด็กที่มีอายุครบ 2 ปีและ 5 ปี ควรจะได้รับวัคซีนรวมคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ครบจำนวน 4 และ 5 ครั้ง ตามลำดับแต่ไม่ควรให้เกิน 6 ครั้ง ก่อนอายุ 7 ปีค่ะ

    ผลข้างเคียงของวัคซีน DTaP

    วัคซีน DTaP มีผลข้างเคียงบางอย่างที่ต้องระวังเช่นเดียวกับวัคซีนอื่นๆ ได้แก่ มีไข้ ไม่สบายตัว อาเจียน เบื่ออาหาร ฯลฯ ในบางรายอาจมีผงข้างเคียงรุนแรงได้ค่ะ เช่น อาการแพ้อย่างรุนแรง ไข้สูง หายใจลำบาก หายใจเสียงดังหวีด ชัก สมองเสียหายถาวร ดังนั้นหลังจากฉีดวัคซีนคุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการค่ะ หากมีข้อสงสัยควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่นๆค่ะ

    นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกรับวัคซีนสำหรับเด็กให้ครบตามกำหนดค่ะ และการรับวัคซีนเสริมอื่นๆเพื่อป้องกันลูกน้อยเพราะการป้องกันมีกดีกว่าการแก้ไขเสมอค่ะ

  • วัคซีนบีซีจี (B.C.G.)

    วัคซีนบีซีจี (B.C.G.)

    วัคซีนบีซีจีคืออะไร

                วัคซีนป้องกันวัณโรคหรือวัคซีนบีซีจี (B.C.G. ย่อมาจาก Bacille Calmette Guerin) เป็นชื่อที่ได้ตามผู้ผลิต คือ Albert Calmette และ Calmille Guerin เป็นผู้ผลิตวัคซีนบีซีจีขึ้น ผลิตที่สถาบันปาสเตอร์ ประเทศฝรั่งเศส โดยใช้เชื้อ Mycobacterium bovis เป็นเชื้อที่ได้จากฝีที่เต้านมของวัว ซึ่งคนที่เพาะเชื้อนี้ขึ้นมาคือ Nacard หรือถูกเรียกว่า Nocard strain

                การผลิตวัคซีนบีซีจี ใช้เวลานานถึง 13 ปี โดย Calmette และ Guerin ได้เพาะเชื้อหลายๆครั้งในอาหารเพาะเชื้อ จนทำให้ Nocard strain อ่อนฤทธิ์ลง และลดความรุนแรง (virulence) ลงมาก ซึ่งทำการทดลองกับสัตว์หลายชนิดแล้วพบว่าไม่ก่อให้เกิดอันตรายและไม่ทำให้เกิดวัณโรคในสัตว์

               เมื่อปี ค.ศ.1923 เกิดวัณโรคระบาดหนัก Calmette จึงได้ทำเป็นวัคซีนทดลองใช้ป้องกันวัณโรคในคนเป็นครั้งแรก โดยให้ทางปากแก่เด็กแรกเกิดที่แม่ตายจากวัณโรค ปรากฎว่าเด็กไม่ได้รับอันตรายและไม่เป็นวัณโรค จึงได้ให้วัคซีนบีซีจีกับเด็กทารกแรกเกิดจากแม่ที่ป่วยเป็นวัณโรครุนแรงคนอื่นๆ ต่อไปต่อมาได้มีการดัดแปลงการใช้วัคซีนโดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง  ฉีดเข้าในผิวหนัง และปลูก ตามลำดับแต่วิธีที่นิยมใช้ที่สุดคือ การฉีดเข้าในผิวหนัง (Intracutaneous injection) ซึ่งทำให้เกิดผลแทรกซ้อนน้อยกว่าวิธีฉีดเข้าใต้ผิวหนัง

               ประเทศไทยเริ่มผลิตวัคซีนบีซีจีใช้เอง เมื่อพ.ศ.2496 หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานตึกมหิดลวงศานุสรณ์ ให้แก่สถานเสาวภา สภากาชาดไทยเป็นสถานที่ค้นคว้าและทดลองผลิตวัคซีนบีซีจีขึ้นเองเพื่อใช้ภายในประเทศ 

    เด็กจำเป็นต้องฉีดวัคซีนบีซีจี หรือไม่

                เนื่องจากอัตราการเกิดวัณโรคในประเทศไทยยังสูงอยู่ จึงกำหนดให้เด็กแรกเกิดทุกคนต้องได้รับวัคซีนบีซีจี และให้ฉีดในทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีได้ โดยให้ฉีดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นพอ ภูมิคุ้มกันจะเกิดหลังจากฉีดไปแล้ว 4-6 สัปดาห์ และอยู่ไปได้นานประมาณ 10 ปี และสามารถป้องกันวัณโรคได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะโรคเยื่อหุ้มสมองในเด็ก

    ชนิดของวัคซีนบีซีจี (B.C.G.)

                วัคซีนบีซีจีที่ใช้ในประเทศไทยเป็นวัคซีนชนิดผงแห้ง (freeze-dried)ที่ยังไม่ผสม จะเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศา หรือช่องแช่แข็งจะเก็บได้นานถึง 2 ปี นับจากวันผลิต เก็บโดยไม่ให้ถูกแสงแดด เพราะถ้าถูกความร้อนและแสงจะทำให้เชื้อบีซีจีที่อยู่ในวัคซีนตายได้ และทำให้เสื่อมคุณภาพ แหล่งวัคซีนในประเทศจะได้มาจาก 3 แหล่ง คือ

    1. จากสภากาชาดไทย (สายพันธุ์ Tokyo 172) ใช้สำหรับป้องกันวัณโรค           
    2. จากบริษัทมาสุ นำเข้ามาจาก Serum Institute of India (สายพันธุ์ Russian) ใช้สำหรับป้องกันวัณโรค
    3. จากบริษัท Sanofi Pasteur เป็น BCG ใช้สำหรับรักษาโรคมะเร็ง

    วิธีการฉีดวัคซีนบีซีจี (B.C.G.)

                การฉีดวัคซีนบีซีจี ให้ฉีดเข้าในหนังบริเวณต้นแขน ไม่ควรฉีดบริเวณสะโพก ต้นขา หรือฝ่าเท้า เพราะการดูแลจะทำได้ยากกว่า

    อาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนบีซีจี (B.C.G)

                หลังจากฉีดวัคซีนบีซีจีเข้าในหนัง น้ำยาจะดันผิวหนังให้โป่งนูนและหลังฉีดประมาณ 1 ชั่วโมง ผิวหนังที่นูนจะยุบหายไปจะเห็นเป็นสีแดงๆ ตรงบริเวณรอยเข็มแทงอีก 2-3 วัน

                ประมาณ 2-3 สัปดาห์ จะเห็นเป็นรอยนูนแดงขนาดประมาณ 5-15 มิลลิเมตร ในตำแหน่งที่ฉีด ตุ่มจะโตขึ้นช้าๆ กลายเป็นฝีเม็ดเล็กๆ และมีหัวหนอง  จะเริ่มแตกออกเป็นแผล ต่อมาตรงกลางของรอยนูนที่แดงจะนุ่มลง แผลนี้ก็จะเป็นๆ หายๆ อยู่ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ก็จะแห้งหายไปเอง ส่วนมากแผลหายตกสะเก็ดใช้เวลาประมาณ 4 เดือน

                อาการบวมแดงที่ผิวหนังบริเวณที่ฉีดบีซีจี จะเกิดเป็นตุ่มนูนแดงในเวลา 24-48 ชั่วโมง อาการบวมแดงและขนาดปากแผลจะรุนแรงกว่าคนที่ไม่เคยได้รับเชื้อมาก่อน แต่ไม่เป็นอันตราย กรณีนี้เป็นในคนที่เคยได้รับเชื้อวัณโรคตามธรรมชาติหรือเคยได้รับวัคซีนบีซีจีมาก่อน เมื่อแผลแห้งสะเก็ดหลุด จะเป็นแผลวงกลมกว้างขนาดประมาณ 6-8 มิลลิเมตร

                อาการข้างเคียงของวัคซีนบีซีจีมีน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นอาการที่เกิดเฉพาะที่ คือ เป็นแผลหนองแต่หายเองได้ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงที่ฉีดอาจจะโตได้ จะพบได้บ่อยบริเวณรักแร้หรือไหปลาร้า ซึ่งจะมีขนาดเล็กๆ พอคลำได้ ขนาดจะเท่าเมล็ดถั่วเขียว

    การดูแลรักษาแผล จากการฉีดวัคซีนบีซีจี (B.C.G.)

    1. หลังจากที่ฉีดวัคซีนบีซีจี ประมาณ 3-4 สัปดาห์ บริเวณแผลที่ฉีดวัคซีนบีซีจีจะเป็นๆ หายๆ ให้รักษาความสะอาดบริเวณที่ฉีด ไม่ต้องใส่ยาหรือปิดแผล          
    2. ใช้สำลีชุบน้ำเกลือ (Normal Saline Solution) หรือน้ำต้มสุก เช็ดที่แผลเบาๆ จนกว่าจะสะอาด และเช็ดด้วยแอลกฮอล์ รอบๆ แผลอีกครั้ง     
    3. ห้ามบ่ง ตุ่ม หนอง
    4. ถ้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงที่ฉีดวัคซีนบีซีจีอักเสบโตขึ้นและเป็นฝี ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

    ห้ามฉีดวัคซีนบีซีจีให้กับใครบ้าง

    1. ห้ามฉีดวัคซีนบีซีจีในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผู้ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
    2. หญิงตั้งครรภ์
    3. ผู้ที่เจ็บป่วยเฉียบพลัน
    4. มีแผลติดเชื้อหรือแผลไฟไหม้ในบริเวณที่จะฉีด
    5. กรณีถ้าหลังคลอดเด็กทารกยังมีปัญหาโรคอื่นๆ อยู่ ยังไม่ควรฉีดวัคซีนบีซีจี รอให้หายดีก่อนเมื่อกลับบ้านได้จึงให้วัคซีน
  • ตารางวัคซีนที่เหมาะสมแต่ละช่วงวัย

    ตารางวัคซีนที่เหมาะสมแต่ละช่วงวัย

    วัคซีนที่ต้องฉีดตามกำหนด มีความจำเป็นและสำคัญเหมาะสมในแต่ละช่วงวัย ซึ่งรวมๆแล้ว ถ้าฉีดครบก็เป็นเกาะป้องกันสุขภาพร่างกายป็นอย่างดี

    [table id=4 /]

  • โรคหัดระบาด กรมคุมโรคเร่งรณรงค์ฉีดวัคซีนกลุ่มเด็กอายุ 1-12 ปี

    โรคหัดระบาด กรมคุมโรคเร่งรณรงค์ฉีดวัคซีนกลุ่มเด็กอายุ 1-12 ปี

    หัด คือโรคชนิดหนึ่งที่พบการระบาดมากในช่วงฤดูหนาว ซึ่งในปีนี้พบผู้ป่วยในหลายประเทศอย่างต่อเนื่อง นานาประเทศร่วมมือกันเพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์ของโรคหัด ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เร่งดำเนินการตามมาตรการรณรงค์ป้องกันโรคหัด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอายุ 1 – 12 ปี ให้ได้รับการฉีดวัคซีนวัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมันในกลุ่มที่ยังไม่เคยได้รับตามเกณฑ์ “ฟรี” ทั่วประเทศ โดยผู้ปกครองสามารถพาเด็กๆเข้ารับการฉีดวัคซีนฟรี ณ สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งถึงเดือนมีนาคม 2563 สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 ค่ะ 

    โรคหัดคืออะไร

    โรคหัด หรือไข้ออกผื่น เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจโดยเกิดจากเชื้อไวรัสหัด(Measles virus) ส่วนใหญ่มักเกิดในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 4 ปี และเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตในเด็กถึงแม้จะมีวัคซีนฉีดป้องกันโรค โรคหัดสามารถติดต่อกันได้ง่ายผ่านการไอ จาม หายใจรดกัน หรือการสัมผัสน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยโดยตรง รวมถึงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วยที่มีการปนเปื้อนของเชื้อไวรัส

    โรคหัดในเด็ก

    อาการของโรคหัด

    โรคหัดจะมีระยะฟักตัว 10 – 14 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัส โดยจะมีอาการทั่วไปดังนี้

    • ในระยะแรกของการติดเชื้อ จะมีอาการคล้ายไข้หวัด อาจมีไข้ขึ้นสูงถึง 40 องศาเซลเซียส มีน้ำมูก ไอแห้งบ่อย เจ็บคอ ตาเยิ้มแดงและจะมีตุ่มคอพลิค (Koplik Spots) หรือตุ่มแดงที่มีสีขาวเล็กๆตรงกลางขึ้นในกระพุ้งแก้ม ซึ่งจะเป็นตุ่มที่เกิดเฉพาะในโรค “หัด” เท่านั้นค่ะ
    • หลังจากมีไข้สูงประมาณ 3 – 4 วัน จะมีผื่นแดงๆกระจายขึ้นตามร่างกาย แขนและขา โดยผื่นจะค่อยๆโตขึ้นและมีสีเข้มขึ้น และหลังจากผื่นคันนี้ 3 – 5 วัน อาการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆและหายไปเองค่ะ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอื่นๆ

    ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงของโรคหัด

    ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงมักเกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี หรือเด็กภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเสียชีวิตในเด็กค่ะ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ อุจจาระร่วงซึ่งจะนำไปสู่อาการขาดน้ำ ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ หูอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ ตาบอด ตับอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือสมองอักเสบซึ่งเป็นโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคหัด ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาทันทีค่ะ

    ฉีดวัคซีน

    การป้องกันโรคหัด

    โรคหัดสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนตามกำหนดค่ะ ซึ่งเป็นวัคซีนที่ป้องกันได้ทั้งโรคหัด(Measles) คางทูม(Mumps) และหัดเยอรมัน(Rubella) โดยเข็มแรกจะฉีดตอนอายุ 9-12 เดือน และเข็มที่ 2 ตอนอายุ 2 ขวบครึ่ง ในการฉีดวัคซีนนี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น มีไข้ ผื่นขึ้นเล็กน้อยคล้ายผื่นโรคหัดและหายไปเองค่ะ นอกจากนี้การป้องกันโรคต่างที่ดีที่สุดคือ การดูแลรักษาสุขภาพของลูกน้อย ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคหัดควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในที่มีผู้คนมาก ห้างสรรพสินค้า หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคหัด เป็นต้น

  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน

    สวัสดีค่ะ

    บทความนี้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนในเด็กที่หลายๆคนสงสัยมาฝากค่ะ แต่ก่อนอื่นเรามารู้จักกับวัคซีนในเบื้องต้นกันก่อนค่ะ

    วัคซีนเป็นวิธีการสำคัญในการป้องกันและลดโอกาสในการพัฒนาความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย การฉีดวัคซีนยังสามารถลดการแพร่กระจายของโรค ดังนั้นการฉัดวัคซีนเปรียบเหมือนการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับโรคบางชนิด ช่วยในการปกป้องเด็กจากการติดเชื้อที่อาจก่อให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรงหรือเสียชีวิตได้ รวมถึงช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อค่ะ ซึ่งปัจจุบันเด็กจะได้รับวัคซีนสำหรับเด็กเพื่อป้องกันโรคขั้นพื้นฐานตั้งแต่แรกเกิด เช่น วัคซีนวัณโรค วัคซีนรวมหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน วัคซีนปอลิโอ วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี ฯลฯ ตามช่วงอายุของเด็ก ซึ่งสามารถรับการฉีดวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านค่ะ ดังนั้นวันนี้เรามีคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการพาลูกน้อยไปฉีดวัคซีนมาฝากคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ค่ะ

    ถาม : ทำไมถึงต้องการฉีดวัคซีน?
    ตอบ : เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กยังไม่แข็งแรงทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายค่ะ การฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยปกป้องลูกน้อยจากโรคต่างๆที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตค่ะ

    ถาม : หากลืมไปฉีดวัคซีนหรือฉีดช้ากว่าตารางนัดควรทำอย่างไร?
    ตอบ : คุณแม่สามารถพาลูกไปรับการฉีดวัคซีนย้อนหลังได้ทันทีค่ะ และในกรณีที่ต้องฉีดต่อเนื่องก็สามารถฉีดได้เลยค่ะ โดยไม่ต้องเริ่มเข็มที่หนึ่งใหม่ขอเพียงแต่ต้องฉีดให้ครบตามจำนวนที่กำหนดค่ะ และควรพาลูกไปรับวัคซีนทันทีที่นึกได้ค่ะ และการฉีดวัคซีนช้าไม่ได้ทำให้ระบบภูมิต้านทานต่อโรคของลูกลดน้อยลงค่ะ

    ถาม : ฉีดวัคซีนก่อนกำหนดได้ไหมคะ เนื่องจากวันที่หมอนัดไม่ว่างค่ะ?
    ตอบ : เนื่องจากวัคซีนแต่ละชนิดได้รับการกำหนดระยะเวลาการฉีด เพื่อให้ได้ผลในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของลูกน้อยดีที่สุด ดังนั้นคุณแม่ควรพาลูกไปฉีดตามวันนัดค่ะ แต่ถ้าไม่สะดวกจริงๆโดยทั่วไปก็อนุโลมให้ไปฉีดก่อนได้ค่ะ

    ถาม : ฉีดวัคซีนมีผลข้างเคียงหรือไม่?
    ตอบ : อาการข้างเคียงหลังจากการฉัดวัคซีนพบได้ในเด็กทั่วไปค่ะ ซึ่งอาจแสดงอาการทันทีที่ฉีดหรือหลังจากได้รับวัคซีนนาน 5 – 12 วัน เช่น รอยแดงหรือบวมมีก้อนแข็งบริเวณที่ฉีดวัคซีน มีไข้ หงุดหงิด ร้องไห้งอแง รู้สึกไม่สบายตัว ฯลฯ แต่ถ้าพบว่าลูกมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียน ท้องเสีย ชัก หายใจลำบาก ฯลฯ ควรรีบพบแพทย์ทันทีค่ะ

    ถาม : ควรทำอย่างไรถ้าลูกไม่สบายหลังจากฉีดวัคซีน?
    ตอบ : เด็กหลายคนหลังการฉีดวัคซีน มักพบอาการไม่สบายตัว บวมแดงบริเวณที่ฉีด มีไข้ร่วมด้วยค่ะ ซึ่งเป็นอาการปกติค่ะคุณแม่สามารถให้ลูกทานยาลดไข้พาราเซตามอนได้ค่ะ แต่ในบางกรณีที่พบอาการแพ้วัคซีน เช่น อาการชัก หายใจลำบาก อาเจียน ท้องเสีย ฯลฯ ควรรีบพบแพทย์ทันที ลูกน้อยของคุณอาจมีอาการแพ้วัคซีนชนิดนั้นได้ค่ะ

    ถาม : หากลูกเป็นหวัดอยู่ฉีดวัคซีนได้หรือไม่?
    ตอบ : กรณีที่ลูกน้อยป่วยเพียงเล็กน้อยสามารถรับการฉีดวัคซีนได้ค่ะ แต่หากมีไข้หรือมีอาการเจ็บป่วยรุนแรง  เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่ค่ะ ดังนั้นควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนหรือให้คุณหมอตรวจสอบอาการของลูกน้อยได้ค่ะ

    ถาม : ฉีดวัคซีนหลายชนิดพร้อมกันได้ไหม
    ตอบ : เราสามารถฉีดวัคซีนหลายชนิดในครั้งเดียวกันได้ค่ะ ในกรณีที่วัคซีนครบกำหนดการฉีดพร้อมๆกัน โดยให้แยกเข็มและตำแหน่งการฉีดค่ะ ยกเว้นวัคซีนรวมสำเร็จรูปที่ผลิตจากบริษัท เช่น วัคซีนรวมคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก สามารถฉีดในเข็มเดียวได้เลยค่ะ

    การฉีดวัคซีนเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำเพื่อปกป้องสุขภาพของลูกน้อยได้ค่ะ  ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องพาลูกน้อยไปรับการฉีดวัคซีนครบตามกำหนดในแต่ละช่วงวัยค่ะ