Tag: ผดผื่น

  • ลูกเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เกิดจากอะไรสิ่งที่คุณแม่ควรรู้

    ลูกเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เกิดจากอะไรสิ่งที่คุณแม่ควรรู้

    การที่ลูกเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง มักเกิดได้จากหลายสาเหตุ หลายปัจจัย อธิเช่นมาจาก การติดต่อทางพันธุกรรม แพ้อาหาร หรือได้รับสารที่ก่อให้เกิดการภูมิแพ้ ซึ่งการเป็นผื่นภูมิแพ้ สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเนื่องจากผิวหนังของเด็กยังมีความบอบบาง แพ้ง่ายเป็นธรรมดา ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อแม่ป้องกันได้

    สาเหตุการเกิดผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

    โรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) เกิดจากการที่ผิวหนังได้รับการอักเสบเรื้อรังซึ่งมาจากการปฎิกริยาทางภูมิแพ้ จะพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เป็นเด็ก โรคภูมิแพ้ผิวหนังมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ

    • โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากปัจจัยภายใน (intrinsic หรือ Non LgE associated) เป็นปัจจัยที่เกิดจากความผิดปกติของผิวหนังจากทางร่างกาย
    • โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากปัจจัยภายนอก (extrinsic หรือ LgE associated) ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ในกลุ่มนี้ จะมีระดับของ LgE associated ในเลือดสูง หรือได้รับการทดสอบทางผิวหนังชนิด Skin prick test ให้ผลเป็นบวก หรือผู้ป่วยมีประวัติที่คนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้ เช่น การเป็นหอบหืด (asthma) โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (allergic rhinitis) เป็นต้น

    อาการของลูกเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

    โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังจะมีลักษณะของการอักเสบของผิวหนังได้หลายระยะ มีตั้งแต่เฉียบพลันจนไปถึงระยะเรื้อรัง ซึ่งลักษณะที่พบได้ชัดคือจะเป็นผื่นตุ่มแดงคัน เป็นแผ่นแดง ลอก และเป็นขุน และยังมีอาการคันร่วมด้วย จะมีการกระจายตามตัวต่างกันในแต่ละวัย

    • วัยทารกแรกเกิด อายุ 2-3 เดือน มักจะขึ้นผื่นบริเวณแก้ม แขน ขา หรือบริเวณที่มีการเสียดสี
    • วัยเด็ก ผื่นมักจะขึ้นหนา และมีรอยเกา บริเวณลำคอและบริเวณข้อพับของแขนและขา

    การวินิจฉัยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

    โรคผื่นภูมิแพ้พิวหนัง แพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากอาการ และลักษณะของผื่นที่มีอาการคันร่วม ตำแหน่งของการขึ้นผื่นของแต่ละช่วงวัย ประวัติการมีผื่น และประวัติการเป็นภูมิแพ้ในครอบครัว หากมีเข้าข่ายก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

    แต่สำหรับในกรณีที่การรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอย่างถูกต้อง แต่อาการไม่ดีขึ้น และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น แพทย์จำเป็นต้องทำการตรวจเพิ่มเติมตามความเหมาะสมของผู้ป่วยในแต่ละราย เพื่อดูปัจจัยอื่นที่สามารถทำให้โรคกำเริบ โดยทดสอบ ดังนี้

    • การทดสอบทางผิวหนัง
    • การเจาะเลือด
    • การทดสอบการแพ้อาหารโดยการรับประทาน

    การรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

    • การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เป็นเหตุให้ผื่นกำเริบ โดยเฉพาะหากผู้ป่วยมีประวัติของการแพ้อาหาร แพ้เหงื่อ แพ้สารเคมี ที่อาจส่งผลทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง
    • สร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังโดยการทาโลชั่น หรือครีมบำรุงผิว ในทันทีหลังจากการอาบน้ำ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำบ่อยเกินไป หรืออาบน้ำอุ่นที่อุ่นจนเกินไป
    • แพทย์จะสั่งจ่ายยาทาลดการอักเสบ เมื่อมีผื่นกำเริบขึ้นมา โดยแพทย์จะทำการรักษาผื่นตามระยะและลักษณะของผื่น เช่นหากมีลักษณะของการอักเสบของผิวหนังอย่างเฉียบพลัน มีน้ำเหลืองไหล จะเริ่มการรักษาโดยการใช้น้ำเกลือประคบ แต่สำหรับระยะของผื่นนานกว่านั้น ก็จะทำการรักษาโดยใช้ยาในกลุ่มของคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) ชนิดแบบทา โดยหมอจะเลือกชนิดของยาและความรุนแรงของยาตามความรุนแรง ระยะ และลักษณะของผื่น ข้อควรระวัง และสิ่งต้องห้ามคือ ห้ามทำการซื้อยาจากร้านขายยามากินเอง ควรได้รับยาจากที่แพทย์สั่งเท่านั้น เพราะเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้อาจได้รับผลข้างเคียงจากยาที่ซื้อมาได้ ในปัจจุบันกลุ่มยาต้านการอักเสบ Calcineurin inhibitors มาทดแทนยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตรียรอยด์ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงในเด็กที่ต้องทานยาอย่างต่อเนี่ยงเปนระยะเวลานานๆ แต่ยาในกลุ่มดังกล่าวๆค่อยข้างมีราคาที่แพง จึงทำให้ต้องทำการพิจารณาจ่ายให้กับผู้ป่วยเป็นรายๆ ไป โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีผลข้างเคียงจากยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid)
    • การเฝ้าระวังภาวะการติดเชื้อแทรกซ้อน หากมีการตรวจพบ ก็จะทำการรักษาภาวะแทรกซ้อนนั้นๆ เช่นการรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อติดเชื้อจากแบคทีเรีย
    • การรับยาลดอาการคัน เพื่อบรรเทาอาการคันให้กับผู้ป่วย
    • การรักษาแบบอื่นๆ
      • การฉายแสง UV หรือการรับประทานยากดภูมิแพ้กันเอาไว้ แต่สำหรับกรณีที่เป็นผื่นมากอาการไม่ดีขึ้นเลยถึงแม้ได้รับยาปฏิชีวนะไปแล้ว ให้แนะนำไปพบคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยตรง
      • การรักษาโดยการใช้วิธีฉีดยาวัคซีนภูมิแพ้ (allergen specific immunotherapy) อาจได้รับประโยชน์ในผู้ป่วยที่มีปฎิกิริยาการแพ้ออกมาอย่างชัดเจนจากการที่ได้รับการตรวจเลือด specific lgE หรือได้รับการตรวจทดสอบทางผิวหนัง (Skin prick test) โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการแพ้จากไรฝุ่น โดยมีการศึกษาจากทางผู้ใหญ่และเด็ก พบว่า การรักษาโดยใช้วิธี allergen immunotherapy สามารถลดความรุนแรงบริเวณของโรคและความรุนแรงของโรค รวมไปถึงลดการใช้ยาทาที่อยู่ในกลุ่มของสเตียรอยด์ลงได้ แต่อย่างไรก็ตามควรได้รับการประเมินการรักษาจากทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน

    มีคุณแม่หลายรายตั้งข้อสงสัยว่า โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังสามารถรักษาหายหรือไม่ ซึ่งคำตอบคือ เนื้่องจากโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังสามารถเกิดจากได้หลายปัจจัย หลายสาเหตุ และก็ขึ้นอยู่กับวัย และความรุนแรงของโรค ซึ่งผู้ป่วยในบางรายก็เป็นๆหายๆ เว้นระยะช่วงกำเริบของโรค และช่วงสงบของโรค ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวหนัง และการสัมผัสปัจจัยเสี่ยงของการกำเริบของผื่นของแต่ละคน ตามธรรมชาติของโรคนี้มักจะเป็นในช่วงเด็กเป็นหลักสูงถึง 60 % ของผู้ป่วยโรคนี้ทั้งหมด โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี แต่เมื่อมีอายุมากขึ้นผิวหนังก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้น ก็มาจากการดูแลผิวหนังอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ

    การป้องกันโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

    โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอย่างที่บอกไปมันสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยปัจจัยหลายปัจจัย หลายสาเหตุ ทั้งจากทางร่างกาย หรือปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ จึงทำให้ในปัจจุบันทางการแพทย์จึงยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด ดังนั้น วิธีการป้องกันที่ดีคือการเรียนรู้วิธีการดูแลผิวหนังอย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงปัจจัยการทำให้เกิดผื่น เช่น การหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ตัวเองแพ้ หลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่ทำให้เราเกิดผื่น หรือสิ่งอื่นๆ เช่น สารเคมี เครื่องสำอางค์ต่างๆ ผงซักฟอก หรือไรฝุ่น ฯลฯ หรือความเครียด เพียงทำให้เป็นการป้องกันการผื่น และลดความรุนแรงของผื่นได้ ในปัจจุบันมีการศึกษาจากทางแพทย์มีการสนับสนุนว่าการใช้ครีมบำรุงผิวสูตรที่เหมาะสมสำหรับผิวเด็ก และผิวที่แพ้ง่าย สามารถบำรุงดูแลได้ตั้งแต่เด็ก 6 เดือนขึ้นไปหลังคลอด

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • โรคของเด็กแรกเกิด 0-1 ปี ที่เป็นบ่อย

    โรคของเด็กแรกเกิด 0-1 ปี ที่เป็นบ่อย

    ในปัจจุบันนี้สภาพสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากมาย ซึ่งก็มาพร้อมกับโรคภัยต่างๆมากมาย ส่งผลทำให้คนบางกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆ โดยเฉพาะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และเด็กทารกแรกเกิด ดังนั้น ในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ที่มีลูกน้อยที่เพิ่งคลอดตลอดจนไปถึง 1 ขวบ ต้องคอยดูแลเอาใจใส่รักษาสุขภาพของตัวเอง และลูก ให้แข็งแรงอยู่เสมอ

    โรคของเด็กแรกเกิด 0-1 ปี ที่เป็นบ่อย

    เด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิด – 1 ขวบ เป็นช่วงวัยที่เด็กต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงที่มีการพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสมองอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแต่ระบบภูมิคุ้มกันโลกที่กำลังพัฒนาให้สมบูรณ์ ดังนั้นในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เด็กมีความเสี่ยงกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ในครั้งนี้ จะมาดูกันว่า มีโรคอะไรบ้างที่เด็กมักเป็นกันบ่อยในช่วงอายุนี้

    ตัวเหลือง

    ตัวเหลืองเป็นหนึ่งอาการที่เด็กในช่วงนี้มักเป็น แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคน มักจะเกิดกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาการตัวเหลืองจะแสดงอาการออกมาในช่วง 3-4 วันหลังคลอด ซึ่งอาการตัวเหลืองสาเหตุเกิดจากมีการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงหลังจากที่มีการคลอดออกมา และมีการทำงานของตับของลูกที่ไม่ดี ร่วมด้วย

    โรคไข้หวัด

    Flu symptoms in toddlers: Signs, treatment, and when to seek help

    โรคไขหวัดเป็นโรคที่เด็กในช่วงอายุนี้มักจะเป็นกัน ซึ่งอาการจะมีลักษณที่เด็กจะมีอุณหภูมิในร่างกายสูงกว่าปกติคือ 37.5 องศาเซลเซียส และหากลูกมีอุณหภูมิสูงถึง 38 องศาเซียลเซียสขึ้น เด็กก็จะเริ่มมีอาการชัก ดังนั้น หากลูกเริ่มมีอาการตัวรุมๆ ควรเริ่มที่ต้องเช็ดตัว เช็ดหน้า ลำคอ แขน ขา โดยเฉพาะข้อพับต่างๆ และขาหนีบของลูก เพราะบริเวณดังกล่าว เป็นบริเวณที่อุณหภูมิจะสูงกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ต้องทำการระบายความร้อน โดยเช็ดในลักษณะย้อนรูขุมขุด ก็จะเป็นการช่วยลดอุณภูมิความร้อนในร่างกายได้ดี และเมื่อเช็ดตัวเสร็จก็ทำการใส่เสื้อผ้าให้ลูกให้เรียบร้อย พร้อมหาผ้าเล็กชุบน้ำอุ่นหมาดๆ มาวางบนหน้าผากของลูก ทั้งนี้ คุณแม่สามารถให้ลูกรับประทานยาลดไข้ได้ แต่ยาควรที่ได้รับคำแนะนำของแพทย์ อย่าได้ซื้อมาเอง

    โรคโคลิก

    Baby colic

    อาการโคลิก เป็นอาการที่เด็กชอบร้องไห้ เกร็ง บิดแขน บิดขา เป็นช่วง ๆ อย่างไรสาเหตุ ส่วนมากเด็กที่เป็นจะมีอายุน้อยกว่า 3 เดือน สาเหตุส่วนใหญ่ทางการแพทย์ อาจเกิดจากลำไส้ถูกกระตุ้น พบได้ในเด็กที่กินนมผสม หรือเด็กที่มีอาการแพ้โปรตีนนม ดังนั้น วิธีช่วยคือให้คุณพ่อหรือคุณแม่ลองอุ้มลูกวนรอบบ้าน และลูบหลังลูกร่วมด้วย หรือไม่ก็ให้ลูกนอนหงาย พร้อมกับจับเข่าของลูกงอจนสูด เพื่อเป็นการไล่ลมออกจากท้องลูก ก็จะช่วยบรรเทาอาการของลูก

    อาการแหวะนม

    baby spitting milk

    การแหวะนมของลูก สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กในทุกๆ คน ไม่ว่าจะเด็กจะกินนมแม่ หรือเด็กที่กินนมผสม ซึ่งอาการดังกล่าวเกิดจากที่เด็กกินนมมากเกินไป หรือเร็วเกินไป ทำให้เกิดลมในท้องลูกจนทำให้ลูกมีอาการสำลักนมหลังกินเสร็จ ทำให้เมื่อลูกมีอาการเรอลมออก หรือลูกมีน้ำลายไหล ก็มักจะมีน้ำนมไหลย้อนจากหลอดลมอาหารกลับออกมาด้วย

    ปากและลิ้น มีฝ้าขาว

    การที่เด็กมีฝ้าขาวที่ลิ้น และปาก ซึ่งเกิดจากเชื้อราในช่องปากที่มาจากการล้างจุกนมไม่สะอาด ดังนั้น วิธีแก้คือ หลังจากการให้ลูกกินนม ให้ลูกกินน้ำอุ่นตาม หรือถ้ายังไม่หาย สำหรับเด็กที่ยังไม่ควรกินน้ำ ก็แนะนำให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดบริเวณช่องปากหลังกินนมเสร็จ

    ผดผื่น

    เด็กในช่วงนี้ ตุ่มเหงื่อของลูกจะยังทำงานไม่สมบูรณ์ ทำให้การขับเหงื่อของลูกทำงานได้ไม่ดี ส่งผลทำให้เกิดผดผื่น ตุ่มแดง น้ำใสๆ หรือเป็นตุ่มหนองเล็กๆ ขึ้นตามตัว และใบหน้า รวมไปถึงอาการคันร่วมด้วย ดังนั้น หากลูกมีอาการคันที่เกิดจากผดผื่นควรทำการทาแป้ง ทายาตามหมอสั่ง หรือทาคาลาไมด์เพื่อลดอาการคัน ไม่ควรเกาเพราะมือของเราอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนซึ่งทำให้ลูกเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

    ท้องเสีย

    Diarrhea in Kids - Reasons, Signs & Home Remedies

    ในหนึ่งวันหากลูกถ่ายเกิน 3 ครั้ง ให้คุณแม่คิดไว้เลยว่าลูกอาจเกิดการท้องเสีย อย่าปล่อยให้ลูกมีอาการขาดน้ำโดยเด็ดขาด เพราะทำให้ลูกเสี่ยงต่อการช๊อคได้ โรคท้องเสียในเด็กอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ติดเชื้อในทางเดินอาหาร มีการปนเปื้อนในน้ำหรืออาหารที่ลูกกิน ลูกมีอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิต้านทานของทางเดินอาหาร หรือลูกมีอาการแพ้โปรตีนในนม หรือลูกติดเชื้อไวรัสโรต้า ที่ติดมาจากมือหรือพื้นผิวทั่วไปและมีการปนในอาหาร

    ท้องอืด

    Getting Relief: How to Respond to Infant Gas Problems

    อาการท้องอืด ก็เป็นอีกโรคที่เด็กเล็กมักเป็น ซึ่งสาเหตุมาจากในท้องของลูกมีลม ทำให้ลูกมีอาการร้องไห้ งอแง มีความอึดอัด พะอืดพะอม ดังนั้น หากลูกมีอาการท้องอืด ให้คุณแม่อุ้มมาแนบอก ให้คางเกยไหล่ และลูบหลังเบาๆ เพื่อไล่ลม หรือนวดบริเวณจุดกึ่งกลางของช่องทางและหมุนตามเข็มนาฬิกา ก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของลำไส้ ได้ดี

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • ผื่นที่คอทารก สาเหตุและการรักษา

    ผื่นที่คอทารก สาเหตุและการรักษา

    ผื่นที่คอในทารกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยเนื่องจากทารกมีผิวที่บอบบางแพ้ง่าย และมักขึ้นรอบๆรอยพับของบริเวณคอ สาเหตุเกิดจากการเสียดสีและความร้อนชื้นทำให้ผิวระคายเคืองค่ะ ผื่นที่คอทารกไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลหรือโรคร้ายแรงค่ะผื่นส่วนใหญ่สามารถหายไปได้เองค่ะ แต่จะมีสาเหตุมาจากอะไรและรับมืออย่างไร เรามีคำตอบไว้ให้แล้วค่ะ

    สาเหตุของผื่นที่คอในทารก

    ผื่นที่คอในทารกมักเกิดขึ้นเมื่อผิวหนังเกิดการเสียดสีระคายเคืองและคัน ซึ่งผิวหนังที่ได้รับผลกระทบมีแนวโน้มที่จะมีลักษณะเป็นตุ่มหรือลอกตกสะเก็ด มักจะเกิดขึ้นตามข้อพับต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะบริเวณลำคอ อาการผื่นคันที่คออาจมีสาเหตุมาจากสิ่งต่างๆดังนี้

    • ผดหรือผื่นความร้อน ทารกอาจมีผื่นที่คอเนื่องจากผดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนที่อุณหภูมิสูง ผื่นเหล่านี้จะมีลักษณะเป็นตุ่มแดงเล็กๆมักขึ้นตามร่างกายโดยเฉพาะตามข้อพับต่างๆของร่างกาย สาเหตุหลักของผดผื่นร้อนคือการมีเหงื่อออกและไปอุดตันท่อเหงื่อ ทำให้ผิวบอบบางของลูกน้อยระคายเคืองได้ค่ะ
    • น้ำลายหรือน้ำนม ในระหว่างที่ให้นมลูกนมไม่ว่าจะเป็นน้ำนมจากขวดนมหรือจากนมแม่ อาจส่วนเกินบางส่วนหกไปที่คอของทารกตามรอยพับของผิวหนัง หากไม่ทำความสะอาดอย่างถูกต้องความชื้นและเมื่อเกิดการเสียดสีของผิวหนังซึ่งกลายเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดผื่นค่ะ
    • การระคายเคืองต่อผิวหนังจากแรงเสียดทาน เนื่องจากคอของทารกสั้นและมีแนวโน้มที่จะพับด้วย รอยพับของผิวหนังเหล่านี้มักจะหนาขึ้นเมื่อทารกอ้วนและอาจถูกันตลอดเวลาและทำให้เกิดการเสียดสี ผิวเกิดการระคายเคืองสาเหตุของผื่นแดงในเด็กค่ะ
    • การติดเชื้อรา อาจมีผื่นขึ้นที่คอของทารกเนื่องจากการติดเชื้อรา ซึ่งมักจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ชื้นและอบอุ่น ผิวหนังบริเวณคอของทารกอาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สำหรับเชื้อราดังกล่าวค่ะ

    อาการผื่นที่คอของลูกน้อย

    อาการทั่วไปของผื่นที่คอในทารกคือลักษณะของจุดแดง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองอาการคันและปวด ทารกบางคนอาจมีไข้ได้เช่นกันค่ะ โดยส่วนใหญ่ไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่เป็นภาวะที่ทำให้ลูกน้อยเกิดอาการไม่สบายตัว ร้องไห้งอแงจากการคันหรือแสบได้ค่ะ

    การรักษาและการป้องกันผื่นที่คอของทารก

    เนื่องจากการรักษาผดผื่นนั้นไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจงโดยเฉพาะ แต่ผดผื่นที่คอลูกน้อยสามารถดูแลได้ด้วยเคล็ดลับต่างๆดังนี้

    • การอาบน้าทำความสะอาดทารก โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับรอยพับของผิวหนังขณะทำความสะอาด เช็ดส่วนต่างๆของร่างกายทารกให้แห้งอยู่เสมอ โดยเฉพาะช่วงอาการร้อน น้ำลายหรือน้ำนมไหลมาบริเวณลำคอเพื่อป้องกันการอับชื้นค่ะ
    • ประคบเย็น การประคบเย็นที่ผื่นที่คออาจช่วยบรรเทาอาการคันและปวดให้ทารกได้ นอกจากนี้ยังอาจช่วยบรรเทาผิวด้วยการลดการอักเสบ สิ่งสำคัญอย่าลืมซับบริเวณนั้นให้แห้งหลังจากนั้นเสมอค่ะ
    • หลีกเลี่ยงการทาแป้งฝุ่นหนาๆที่คอลูกน้อย ซึ่งการทาแป้งหนาๆอาจทำให้เกิดการระคายเคืองมากขึ้นค่ะ
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศร้อนจัดหรือสถานที่อบอ้าว
    • ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้าที่อ่อนโยนต่อผิวทารก เพื่อป้องกันการระคายเคืองค่ะ
    • สวมใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน
    • วันที่มีอากาศร้อนมากควรให้ลูกนอนหลับในห้องปรับอากาศหรือมีพัดลม แต่ไม่ควรจี้โดนตัวโดยตรงค่ะ เพียงให้แน่ใจว่าสายลมอ่อนโยนมาถึงพวกเขาในขณะที่พวกเขานอนหลับก็เพียงพอค่ะ

    ผื่นที่คอในทารกพบได้บ่อยค่ะ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการระคายเคืองของผิวและเพื่อให้ลูกน้อยรู้สึกสบายตัวตัวที่สุดค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • ลูกผิวแห้ง ลอก เป็นขุย ดูแลฟื้นฟูผิวอย่างไร

    ลูกผิวแห้ง ลอก เป็นขุย ดูแลฟื้นฟูผิวอย่างไร

    ผิวของเด็กจะมีความบอบบางมากกว่าผู้ใหญ่ ถึง 3 เท่า เนื่องจากโครงสร้างของผิว รูขุมขน และต่อมเหงื่อของเด็กยังต้องใช้เวลาในการปรับสภาพ และการทำงานให้ได้อย่างสมบูรณ์ ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมนอกครรภ์ของคนเป็นแม่ โดยส่วนมากจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี หลังที่เด็กได้ลืมตาดูโลก ดังนั้นในช่วงนี้บริเวณผิวชั้นนอกของเด็กทารก ขบวนการกันสร้างความสมดุลของชั้นผิวให้มีความชุ่มชื้นยังทำงานไม่สมบูรณ์ ทำให้มีการสูญเสียน้ำจากผิวได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้ลูกผิวลอก หรือเป็นขุยได้ง่าย

    สาเหตุลูกผิวแห้ง ลอก เป็นขุย

    • สภาพอากาศที่แห้ง ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่อยู่ในบ้าน หรืออากาศที่อยู่นอกบ้าน หากเจออากาศเย็นจัด หรือร้อนจัด จะให้ผิวของลูกสูญเสียน้ำได้ง่าย และไม่เพียงจะทำให้ลูกผิวลอก เป็นขุย จะส่งผลให้เกิดการผดผื่น หรือโรคผิวหนังได้อีกด้วย
    • การอาบน้ำร้อนหรืออุ่น มากจนเกินไป เนื่องจากน้ำร้อนหรือน้ำอุ่นจะล้างไขมันที่อยู่ในผิวหนังของคนที่ทำหน้าที่เคลือบผิวให้ออกไป ส่งผลทำให้ผิวแห้งได้
    • การที่ให้ลูกอาบน้ำบ่อยจนเกินไป จะทำให้ไขมันธรรมชาติที่เคลือบผิวถูกชำระล้างออกไป เป็นความเข้าใจของคุณพ่อคุณแม่หลายท่านที่เข้าใจว่าการให้ลูกอาบน้ำบ่อยจะทำให้ผิวของลูกชุ้มชื้น
    • ใช้สบู่ที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก เพราะหากเลือกใช้สบู่ที่ไม่เหมาะสมโดยเฉพาะที่เป็นด่างหรือผสมกับน้ำหอม อาจส่งผลไปยังผิวของเด็กได้ ดังนั้น ควรเลือกสบู่ที่มีสูตรอ่อนโยนสำหรับเด็ก และไม่มีน้ำหอมเป็นการดีทีสุด
    • ลูกสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสม เพราะเสื้อผ้าเด็กบางยี่ห้อ อาจทำมาจากใยสังเคราะห์ซึ่งอาจทำให้ผิวของเด็กถูกการเสียดสี และเกิดการลอกได้ง่าย และยิ่งหากช่วงเวลานั้นลูกผิวแห้งก็อาจทำให้ลูกยิงผิวลอก เป็นขุยไปกันใหญ่ ซึ่งขอแนะนำเสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าคอตต้อน ดีกว่า เพราะมีความนุ่มนวลไม่เป็นผลกระทบต่อผิวของเด็กค่ะ
    • ไม่ควรให้ลูกเล่นน้ำในสระว่ายน้ำที่ผสมคลอรีน หรือ เล่นน้ำทะเลที่มีโซเดียม นานจนเกินไป เพราะคลอรีน และโซเดียม มีผลต่อความชุ่มชื้นของผิว ทำให้ผิวแห้งเร็วโดยง่าย
    • ลูกกินน้ำน้อยมากจนเกินไป เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย หากมีปริมาณในการกินน้ำน้อยเกินไปก็อาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ผิวก็เช่นกัน หากขาดน้ำก็ทำให้ผิวเกิดความแห้ง ลอกเป็นขุย ง่ายเช่นกัน

    ปัญหาของผิวเด็ก ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากปล่อยให้ผิวของลูกขาดการบำรุง สูญเสียความชุ่มชื้นในผิวของลูกมากจนเกินไป อาจทำให้ลูกผิวแห้ง ลอก ขุย ซึ่งบริเวณผิวที่เป็นมากที่สุดคือบริเวณ คอ แขน ข้อพับจุดต่างๆ ซึ่งบริเวณในส่วนนี้ จะเป็นส่วนที่ลูกคัน และอาจจะเอามือไปเกาทำให้เกิดแผลได้

    วิธีดูแล ฟื้นฟูผิวของลูกที่แห้งและเป็นขุย

    เมื่อลูกของคุณมีอาการผิวแห้ง ลอก เป็นขุย และมีความรู้สึกคันผิว และยังไปเกา ถู หรือแค่ลูบ เพื่อให้หายจากอาการคัน ซึ่งไม่ควรให้ลูกทำ เนื่องจากเป็นวิธีที่ผิว และยังทำให้ไม่ให้หายคันแล้วอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผิวของลูกได้ เช่น เกิดแผล การถลอก แดง หรือทำให้แสบผิว และอาจทำใหแผลที่เกิดจากการเกาติดเชื้อ ดังนั้น วิธีการดูแลฟื้นฟูผิวของลูกที่แห้งและเป็นขุยง่าย ดังนี้

    • ใช้น้ำอาบลูกในอุณหภูมิที่ร้อน หรืออุ่นเกินไป ควรมีความพอดี เพราะน้ำที่เหมาะสมจะยังรักษาไขมันที่ผลิตจากธรรมชาติที่ทำหน้าที่ในการเคลือบผิวไม่ให้แห้ง ได้ถูกชำระล้างออกไป
    • อาบน้ำให้กับลูกแค่วันละ 1-2 ครั้ง เพราะเป็นการช่วยให้ไขมันธรรมชาติที่เคลือบผิวอยู่ถูกชำล้างออกไป เป็นการป้องกันไม่ให้ลูกนั้นผิวแห้ง
    • เลือกผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่เหมาะสมสำหรับเด็ก โดยเฉพาะสบู่ควรเลือกที่เป็นสูตรอ่อนโยน ไม่เป็นด่าง และไม่มีน้ำหอมผสม เพื่อไม่ให้สารเคมีได้ส่งผลกระทบต่อผิวของเด็ก
    • ควรทาโลชั่นหลังอาบน้ำให้เด็กทุกครั้ง เพื่อให้ผิวของลูก ยังคงก็บความชุ่มชื้นได้ไม่ถูกล้างออกไป
    • เลือกเสื้อสวมใส่สำหรับเด็กให้เหมาะสม ไม่ควรเลือกเสื้อผ้าที่ทำมาจากใยสังเคราะห์ เพราะอาจส่งผลต่อผิวของเด็กได้ ควรเลือกเสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าคัดตอล เพราะเนื้อผ้ามีความอ่อนนุ่ม ไม่ไปทำร้ายต่อผิวของเด็ก
    • หลีกเลี่ยงน้ำที่ผสมคลอรีนหรือที่มีเกลือ เพราะคลอรีนและเกลือมีผลต่อความชุ่มชื้นของผิว ทำให้เกิดผิวแห้ง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ไม่ควรให้ลูกเล่นน้ำนานจนเกินไป
    • ควรหมั่นให้ลูกดื่นน้ำเยอะๆ เพื่อสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย และสร้างความชุ่มชื้นให้สำหรับผิว

    เห็นไหมค่ะว่า ผิวของเด็กไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะปล่อยปะละเลยได้ เพราะผิวของเด็กยังมีความเปราะบางไม่เหมือนกับผิวผู้ใหญ่ ดังนั้น ควรหมั่นดูแล และเอาใจใส่ผิวของเด็กให้มีความสมบูรณ์ อย่าปล่อยให้ปัญหาของผิวลูก เป็นเรื่องที่บานปลายค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้องลูกผิวแห้ง และเป็นขุย

  • การดูแลเด็กแรกเกิด สำหรับพ่อแม่มือใหม่ : ผดผื่นบนผิวหนังของลูก

    การดูแลเด็กแรกเกิด สำหรับพ่อแม่มือใหม่ : ผดผื่นบนผิวหนังของลูก

    ผิวหนังของเด็กทารกเป็นอะไรที่บอบบาง จึงก่อเกิดให้เกิดผดผื่นได้ง่าย เนื่องจากต่อมเหงื่อของเด็กอ่อนยังพัฒนายังไม่เต็มที่ จึงทำให้เหงื่อที่ผลิตออกมาจากผิวหนังของลูกค้างติดตามผิวหนังของเด็ก จนทำให้ตุ่มสีแดงผุดขึ้นมา

    ส่วนมากผดผื่นมักจะเริ่มจากต้นคอของเด็ก และลุกลามไปส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตามไหล่ หน้าอก ใบหน้าและลำตัว ผดผื่นเด็กจะเป็นมากในช่วงฤดูร้อน ความร้อนจะทำให้เด็กมีเหงื่อท่วมตัวตลอดเวลา ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นอาบน้ำลูกบ่อยๆ และไม่แนะนำให้สวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ ให้กับลูก และหากลูกมีอาการคันแนะนำให้ยาคาลาไมน์ที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมทาแก้อาการคันของลูก แต่หากผื่นมีลักษณะที่เป็นตุ่มหนอง และทาคาลาไมน์มาแล้ว 2-3 วัน แล้วไม่หาย ควรที่พาลูกไปพบแพทย์ เพราะถ้าปล่อยเอาไว้ อาจเกิดการติดเชื้อได้

    ผื่นผ้าอ้อม

    บริเวณผิวหนังที่นุ่งผ้าอ้อมถ้ามีลักษณะเป็นผื่นแดงๆ จุดๆ และแฉะ มีน้ำหนอง แสดงว่าลูกเป็นผื่นผ้าอ้อม สาเหตุที่พบได้บ่อยคือ ปล่อยให้เด็กแช่อยู่ในผ้าเปื้อนอุจาระหรือปัสสาวะนานเกินไป หรือผื่นที่เป็นอาจเกิดจากการแพ้สารเคมีของผงซักฟอกหรือน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใช้กับผ้าอ้อมก็ได้

    ถ้าลูกเป็นผื่นผ้าอ้อม ควรแก้ไขด้วยการซักผ้าแล้วล้างน้ำจนสะอาดตากกลางแดดจัดๆ ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกทุกครั้งที่เปียก ถ้าเป็นมากลองไม่นุ่งผ้าอ้อมสักพัก ให้ผิวลูกได้สัมผัสอากาศบ้าง ถ้ามีอาการอักเสบติดเชื้อต้องไปพบแพทย์ค่ะ

    ผื่นบนใบหน้า

    เด็กแรกเกิดที่มีอายุ 1-2 เดือน มักเป็นผื่นบนใบหน้าเป็นประจำ ซึ่งลักษณะของผื่นจะมีลักษณะเป็นตุ่มสีขาวเล็กๆ ระเอียด และเมื่อเด็กเข้าสู่อายุ 6 เดือนขึ้นไป อาการผื่นดังกล่าวก็จะหายไปเอง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องทำอะไร หรือวิตกกังวลอะไร แต่ทั้งนี้ บางครั้งมีจุดแดงๆ เล็กๆ บนแก้มสองข้าง บางครั้งหายไปแล้วกลับเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นกับเด็กค่ะ

    เด็กทารกบางคนจะมีอาการแพ้นมวัว แก้มทั้งสองข้างจะมีผื่นแดงเยิ้ม ซึ่งในบางครั้งก็อาจจะมีน้ำเหลืองไหล ไม่ยอมหายสักที ซึ่งโดยทั่วไปเรียกว่า “กลากน้ำนม” ซึ่งไม่ได้เกิดจากน้ำนมหกรดแก้ม แต่เกิดจากการแพ้โปรตีนบางอย่างในน้ำนมวัว คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ และต้องระมัดระวังว่าเด็กเหล่านี้เมื่อโตขึ้นอาจมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้

    นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างของผดผื่นที่เด็กสามารถเป็นได้ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้ลดการเกิดผดผื่น คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นทำความสะอาดให้กับลูก เป็นประจำค่ะ

  • ผดผื่นบนใบหน้าของทารก

    ผดผื่นบนใบหน้าของทารก

    ผดผื่นบนผิวหนังของลูกปัญหากวนใจให้กับคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยไม่ใช่น้อย เนื่องจากผิวหนังของลูก โดยเฉพาะเด็กทารกแรกเกิดยังมีความบอบบางอยู่มาก พร้อมที่แพ้ได้ตลอดเวลาหากมีอะไรมาสัมผัสผิวของลูกน้อย ผด ผื่น มีอยู่หลายชนิด และสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วทั้งร่างกาย แต่สำหรับในครั้งนี้เราจะมีทำความรู้จักเกี่ยวกับผื่นที่มักจะเกิดขึ้นบริเวณใบหน้าว่ามีชนิดใดบ้าง ลักษณะเป็นอย่างไร ตลอดจนวิธีการรักษาและบรรเทาอาการของผดผื่น

    โดยปกติแล้วผดผื่นบนใบหน้าของทารกมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ส่วนมากมักไม่เป็นอันตรายและสามารถหายได้เอง แต่ก็มีบางชนิดหากเกิดขึ้นแล้วอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงได้ ดังนั้นเพื่อความแน่ใจคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตุการเกิดผื่นและสังเกตุอาการของลูกควบคู่ไปด้วยกัน หากไม่แน่ใจควรพาลูกพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไปค่ะ

    ผดผื่นที่เกิดขึ้นบ่อยบนใบหน้าทารก

    ผดผื่นร้อน

    ผดผื่นร้อนจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง ตุ่มใสแดงและมีหนองร่วมด้วย มักจะเกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อ (occlusion of eccrine sweat duct) มักจะเกิดขึ้นในบริเวณแขน ขา และบริเวณใบหน้า ซึ่งผดผื่นร้อนสามารถหายเองได้ โดยการที่คุณแม่หมั่นอาบน้ำให้ลูกบ่อยๆ และควรที่จะให้ลูกอยู่ในห้องที่มีการถ่ายเทอากาศได้สะดวก

    ผื่นแดง

    ผื่นแดงจะมีลักษณะเป็นตุ่มแดงนูน คล้ายยุงกัด มีอาการคันหรือไม่ก็ได้ มักจะเกิดขึ้นบริเวณข้อพับต่าง แขน ขา และเกิดขึ้นบริเวณใบหน้าได้ ส่วนมากจะพบมากในเด็กแรกเกิด ผื่นแดงไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงระบบภูมิคุ้มกันของเด็กทารก ซึ่งผื่นชนิดนี้สามารถหายได้เลยภายใน 2-4 สัปดาห์

    ผื่นทารก

    ผื่นทารกจะมีลักษณะเป็นตุ่มใส เพียงอย่างเดียวเกิดจากการอุดตันที่รูขุมขน จะเกิดขึ้นในบริเวณใบหน้า และตามแขนขา ซึ่งผื่นทารกสามารถลามไปส่วนอื่นได้เนื่องจากน้ำใสๆที่อยู่ในตุ่มถ้าแตกจะทำให้เกิดการรุกลามแพร่กระจาย ดังนั้นคุณแม่ต้องพยายามไม่ให้ลูกไปเกาแกะ ผื่นนี้สามารถหายได้เอง และรอยแผลที่เป็นจะจางหายไปตามธรรมชาติ

    สิวทารก หรือสิวฮอร์โมน

    สิวทารก หรือสิวฮอร์โมน จะมีลักษณะเป็นตุ่มหนองเหมือนสิวอักเสบหรือสิวหัวช้างของผู้ใหญ่ เกิดจากการที่ต่อมไขมันบนใบหน้าของลูกถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมน มักเกิดบริเวณใบหน้า หรือบริเวณ T zone แต่ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด คุณแม่จึงไม่จำเป็นที่จะไปบีบเอาหนองออก

    ผื่นมิเลีย

    ผื่นมิเลียจะมีลักษณะตุ่มสีขาวขุ่น เกิดจากโปรตีนที่อยู่บริเวณชั้นผิวหนังมีมากกว่าปกติ มักจะเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า หากใช้มือสะกิดก็สามารถหลุดร่วงได้ง่าย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ผื่นมิเลียไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด สามารถหายเองได้เมื่อเด็กมีอายุ 1 เดือน แต่บางรายอยู่จะอยู่ถึง 3 เดือน

    สาเหตุที่พบบ่อยของผื่นบนใบหน้าของทารก ได้แก่

    แพ้อาหาร

    แพ้อาหาร

    ผื่นสามารถตอบสนองต่ออาหารที่ลูกของคุณอาจแพ้ได้ กระตุ้นให้เกิดการแพ้และสามารถถ่ายโอนไปยังทารกผ่านทางนมแม่ได้เช่นกันค่ะ

    ปฏิกิริยาทางเคมี

    ปฏิกิริยาทางเคมี

    ผื่นแพ้จากผงซักฟอกหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้า ที่นอนหรือที่สัมผัสกับลูกน้อย รวมถึงผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ทำให้เกิดผื่นขึ้นได้ค่ะ

    สภาพภูมิอากาศ

    สภาพภูมิอากาศ

    เนื่องจากผิวที่บอบบางซึ่งตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโดยรอบได้ทันที โดยเฉพาะอากาศร้อนเนื่องจากเหงื่อออกมากทำให้รูขุมขนอุดตันและส่งผลให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย

    เชื้อแบคทีเรียต่างๆจากการสัมผัส

    เชื้อแบคทีเรีย

    โดยเฉพาะมือหรือเสื้อผ้าของคุณที่สัมผัสกับผิวของลูกน้อยที่บอบบางทำให้เกิดผืนแพ้ได้ง่ายขึ้นค่ะ

    การรักษาผื่นบนใบหน้าของทารก 

    โดยส่วนใหญ่ผื่นที่เกิดขึ้นมักหายได้เองตามธรรมชาติ และไม่มีวิธีรักษาโดยเฉพาะเจาะจง หากทารกมีผื่นแดงบนใบหน้าสิ่งแรกที่คุณควรทำคือลดอาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผื่นแพร่กระจายหรือรุนแรงมากขึ้น โดยทำให้บริเวณที่มีผดผื่นขึ้นสะอาดและแห้งซึ่งใช้การซับแทนการถูไปมา เพราะการถูอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือเป็นแผลมากขึ้นได้ค่ะ แต่ในกรณีที่รุนแรงหรือมีการแพร่กระจายของผื่น ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

    การบรรเทาผื่นบนใบหน้า

    การบรรเทาผื่นบนใบหน้า

    ผื่นส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นบนใบหน้าสามารถดูแลและบรรเทาได้เองที่บ้านด้วยวิธีง่ายๆดังต่อไปนี้

    • น้ำแข็ง การใช้น้ำแข็งเพื่อลดอาการระคายเคือง บรรเทาอาการคันได้ โดยการห่อก้อนน้ำแข็งกับผ้าสะอาดและวางลงบนบริเวณผิวที่มีผดผื่นขึ้นจากนั้นซับให้แห้งค่ะ
    • แป้งลดผดผื่นคันสำหรับเด็ก ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้ใช้ค่ะเพราะแป้งบางชนิดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ค่ะ
    • น้ำนมแม่ นอกจากจะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยแล้วยังสามารถรักษาผดผื่นได้ค่ะ โดยทาบริเวณที่เกิดผดผื่นขึ้นค่ะ

    ผื่นที่เกิดขึ้นอาจรุนแรงได้หากไม่รักษาสุขอนามัยที่เหมาะสมค่ะ ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือการลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวลูกน้อยค่ะ หากมีผดผื่นที่สร้างความสงสัยหรือคุณพ่อคุณแม่กังวลสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ได้ค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • 7 ผดผื่น ปัญหาผิวหนังเด็ก

    7 ผดผื่น ปัญหาผิวหนังเด็ก

    ผดผื่นปัญหาผิวหนังทารก และเป็นปัญหากวนใจพ่อแม่ ถึงแม้ว่าจะคอยดูแลลูกน้อยอย่างดี แต่ทำไมผดหรือผื่นมักจะเกิดขึ้นกับลูกของเรา หรือลูกแพ้อะไรหรือเปล่าและอีกหลากหลายข้อสงสัยที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับปัญหาผิวหนังของลูกน้อย ดังนั้นวันนี้เราจึงรวบรวมปัญหาผิวที่มักจะเกิดกับลูกรัก รวมไปถึงวิธีการรักษาเบื้องต้นมาฝากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

    (more…)

  • ผดร้อนในทารก

    ผดร้อนในทารก

    ผดร้อนในทารก 

    ผดร้อนที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องธรรมดาในเด็กและทารกเนื่องด้วยประเทศไทยเป็นเมืองร้อน แม้ว่าผดร้อนจะสร้างความน่ารำคาญแต่ก็สามารถรักษาได้ ดังนั้นบทความนี้เราจะมาเรียนรู้ผดผื่นร้อนในเด็กทารกรวมถึงวิธีการดูแลรักษา

    ผดผื่นร้อนคืออะไร

    ผื่นความร้อนเรียกอีกอย่างว่า ผื่นฤดูร้อนหรือผด, Heat rash, Prickly Heat หรือ Miliaria เป็นผดผื่นเล็กๆมีสีแดงสามารถขึ้นในส่วนต่างๆของร่างกาย โดยผดเหล่านี้มักกจะเกิดขึ้นในช่วงที่มีอากาศร้อนหรืออากาศอบอ้าวสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะขึ้นในบริเวณ คอ หน้าอก ก้น ท้อง และบริเวณที่มีการเสียดสีกัน เช่น ข้อพับแจน รักแร้ เป็นต้น ผดร้อนเป็นอาการทางผิวหนังที่ไม่อันตรายสามารถรักษาให้หายได้ค่ะ แต่ก็อาจจะก่อให้เกิดอาการคันหรือแสบทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายเพียงเล็กน้อยกับลูกของคุณค่ะ

    สาเหตุของผดผื่น

    ผดผื่นจากอาการร้อนจะปรากฏขึ้นหากลูกน้อยของคุณเหงื่อออกมาก เนื่องจากเหงื่อออกมากเกินไปทำให้รูขุมขนอุดตันและเหงื่อไม่สามารถออกมาได้ เด็กและทารกจะมีผดผื่นเนื่องจากรูขุมขนเล็กลงเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ และสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงฤดูหนาวหากลูกน้อยของคุณมีไข้หรือหากคุณสวมใส่เสื้อผ้าหลายชั้นทำให้เกิดการอับชื้นในบริเวณนั้น

    การรักษาผดร้อนในทารก

    การรักษาผดร้อนนั้นไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจงโดยเฉพาะ แต่สิ่งที่คุณแม่สามารถทำได้เพื่อให้ลูกน้อยของคุณผ่อนคลายจากอาการที่เกิดขึ้นค่ะ ได้แก่ การลดความร้อน โดยการถอดเสื้อผ้าของทารกเพื่อคลายความร้อยให้กับผิวหนัง การอาบน้ำในน้ำเย็นเพื่อกำจัดเหงื่อและล้างรูขุมขนค่ะไม่ควรใช้ขี้ผึ้งหรือครีมสำหรับผดผื่นเว้นแต่ว่าแพทย์แนะนำเท่านั้น รวมถึงการสวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะกบสภาพอากาศค่ะ เพื่อให้ผิวหนังของลูกน้อยสัมผัสกับอากาศธรรมชาติมากที่สุดค่ะ

    วิธีป้องกันผดผื่น  

    การป้องกันไม่ให้เกิดผดผื่นคันที่พบบ่อยในเด็กทารก ซึ่งคุณสามารถทำได้ดังนี้

    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศร้อนจัด หรือสถานที่อบอ้าว
    • สวมใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน
    • เนื่องจากคอ รักแร้ และข้อพับต่างๆมักเกิดผดร้อนได้ง่าย คุณแม่ควรดูแลให้บริเวณดังกล่าวแห้งหรือมีเหงื่อไหลออกมามากเกินไปค่ะ
    • วันที่มีอากาศร้อนมากควรให้ลูกนอนหลับในห้องปรับอากาศหรือมีพัดลม แต่ไม่ควรจี้โดนตัวโดยตรงค่ะ เพียงให้แน่ใจว่าสายลมอ่อนโยนมาถึงพวกเขาในขณะที่พวกเขานอนหลับก็เพียงพอค่ะ

    การผดร้อนในทารกเกิดขึ้นง่ายมากค่ะ และลูกน้อยไม่สามารถสื่อสารหรือแสดงความรู้สึกไม่สบายได้ในช่วงที่มีอาการผื่นแดง คุณแม่ควรหมั่นดูแลอยู่เสมอค่ะ เพื่อช่วยให้ลูกขอคุณรู้สึกสบายตัวมากขึ้นค่ะ

  • โรคหน้าร้อนที่พบบ่อยในเด็ก

    โรคหน้าร้อนที่พบบ่อยในเด็ก

    โรคหน้าร้อนที่พบบ่อยในเด็ก

    โรคหน้าร้อนที่พบบ่อยในเด็ก ซัมเมอร์นี้ต้องระวัง ช่วงวันหยุดปิดเทอมของเด็กๆ ซึ่งหลายๆครอบครัวมักจะใช้เวลาช่วงนี้พาเด็กๆไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และการพาเด็กออกไปเที่ยวในวันที่มีอากาศร้อนหรือช่วงฤดูแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องระวังการเจ็บป่วยในช่วงหน้าร้อนที่ตามมาด้วยนะคะ เนื่องจากในช่วงฤดูร้อนและอากาศที่ร้อนขึ้นแบบนี้ ส่งผลกระทบให้เกิดความแห้งแล้งซึ่งเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น ทำให้ซัมเมอร์นี้ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ว่าแต่จะมีโรคอะไรบ้าง รวมถึงวิธีการดูแลและป้องกันในช่วงฤดูร้อนนี้มาดูกันเลยค่ะ

    รคอุจาระร่วงแบบเฉียบพลัน
    โรคอุจาระร่วงแบบเฉียบพลัน เกิดจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสต่างๆ รวมถึงการสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนแล้วนำเข้าปากโดยเฉพาะในเด็กเล็ก เพราะเชื้อโรคเหล่านี้เจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อน อาหารมีโอกาสบูดเสียได้ง่ายกว่าปกติค่ะ
    อาการของโรค ถ่ายเหลววันละ 3 ครั้ง หรืออาจมากกว่านั้น และบางครั้งอาจมีมูกเลือดปน อาเจียน กินอาหารได้น้อย รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ และมีไข้สูงร่วมด้วยค่ะ
    การดูแลเมื่อลูกท้องเสีย หากพบว่าลูกมีอาการถ่ายเหลวตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกได้ด้วยการให้จิบน้ำเกลือแร่ เพื่อชดเชยน้ำในร่างกายที่สูญเสียไป ในกรณีที่ลูกไม่หยุดถ่าย หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียน มีไข้สูง ควรรีบพาลูกพบแพทย์ทันทีค่ะ
    การป้องกัน คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มต้นที่การรับประทานอาหารสะอาดปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลางเมื่อต้องรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ดื่มน้ำสะอาดที่มีฝาปิดมิดชิด ไม่ดื่มนมค้างคืนเพราะในช่วงฤดูร้อนทำให้อาหารบูดเสียง่าย ฝึกฝนให้ลูกรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การล้างเมื่อก่อนและหลังรับประทานอาหาร เป็นต้น รวมทั้งทำความสะอาดของเล่น สิ่งของเครื่องใช้ที่เด็กสามารถเอาเข้าปากได้เป็นประจำค่ะ  

    โรคลมแดด
    โรคลมแดด เกิดจากอุณหภูมิรอบๆตัวที่สูงมาก ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบสมอง ระบบไหลเวียนโลหิตและการเต้นของหัวใจ
    อาการที่สังเกตได้เมื่อลูกเป็นลมแดด ลูกตัวร้อนขึ้นเรื่อยๆ ชีพจรเต้นแรง หายใจถี่และเร็ว กระหายน้ำ ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หน้าแดงคล้ายพึ่งออกแดดและไม่มีเหงื่อไหลออกมาแม้จะอากาศร้อน ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลและแก้ไขอย่างถูกต้องอาจทำให้ลูกน้อยหมดสติ หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้ค่ะ
    การดูแลเมื่อลูกเป็นลมแดด คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาลูกเข้าไปในที่ร่มและอากาศถ่ายเทสะดวก จากนั้นให้ถอดเสื้อของลูกออกเพื่อให้ร่างกายได้ระบายความร้อน  จับให้ลูกนอนหงายขายกสูงเพื่อให้ระบบการไหลเวียนเลือดทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น และใช้หาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวซึ่งจะช่วยให้อุณหภูมิเย็นลงเร็วขึ้นค่ะ
    การป้องกันโรคลมแดดในเด็ก ในวันที่อากาศร้อนมาก คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกดื่มน้ำมากๆ สวมใส่เสื้อผ้าบางๆระบายความร้อนได้ดี หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้านในช่วงที่อาการร้อนจัด และหากจำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรใส่หมวกทุกครั้งที่ออกกลางแดดค่ะ

    โรคไข้หวัดแดด
    โรคไข้หวัดแดด เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยถูกกระตุ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ เมื่ออุณหภูมิร่ายการมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น เมื่ออยู่ในบ้านอากาศเย็นแล้วออกนอกบ้านเจอกับอากาศร้อนในทันที เป็นต้น ซึ่งเป็นโรคที่ติดต่อจาการสัมผัสโดยตรงกับน้ำมูก น้ำลาย การไอจาม หรือจาการสัมผัสกับสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆของผู้ป่วย
    อาการของไข้หวัดแดด  มีลักษณะอาการคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ น้ำมูกใส ไอ จาม ปวดเมื่อยตามร่างกาย เป็นต้น ความรุนแรงขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของเด็กแต่ละคน ซึ่งปกติแล้วไข้หวัดแดดจะหายภายใน 3 – 7 วัน หากไม่หายต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ
    การดูแลเมื่อป่วยเป็นไข้หวัดแดด คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกในเบื้องต้น เมื่อลูกมีไข้ให้ทานยาลดไข้ เช็ดตัว ทานอาหารย่อยง่าย และนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดมากๆ หากไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ทันทีค่ะ
    การป้องกันโรคไข้หวัดแดด คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของลูกให้แข็งแรง พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งร้อนจัด และหลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัด เช่น ห้างสรรพสินค้า เพื่อป้องกันการติดเชื้อ เพราะเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคค่ะ

    โรคผิวหนัง ผด ผื่นคัน
    โรคผิวหนัง ผด ผื่นคัน จากเกิดการระคายเคืองของผิวหนัง ความอับชื้นของร่างกายเมื่ออยู่ในอากาศร้อนมากๆ ต่อมเหงื่อจะระบายความร้อนออกมาเป็นเหงื่อ และในเด็กเล็กการทำงานต่อมเหงื่อยังไม่ดีจึงอาจเกิดการอุดตันได้ค่ะ
    อาการของผดผื่น มีลักษณะเป็นตุ่มใสๆ กระจายทั่วร่างกายและมักเกิดบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น ข้อพับแขน ขา หลัง เป็นต้น  และมีอาการคันบริเวณที่เกิดผดผื่นขึ้นค่ะ
    การดูแลเมื่อลูกมีผด ผื่นขึ้นตามร่างกาย คุณพ่อคุณแม่ควรอาบน้ำหรือเช็ดตัวให้ลูกบ่อยๆ สวมเสื้อผ้าบางๆระบายความร้อนได้ดี ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้คาลาไมน์ทาบริเวณที่เป็นผื่นขึ้น เพื่อลดอาการคันให้กับลูกค่ะ
    การป้องกัน คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตผื่นก่อนว่ามาจากสาเหตุอะไร เช่น แพ้อาหาร แมลงกัดต่อย ฯลฯ หลีกเลี่ยงการพาลูกออกไปเดินเล่นในช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัด อาบน้ำหรือเช็ดตัวให้ลูกบ่อยๆ สวมเสื้อผ้าบางๆเพื่อช่วยระบายความร้อนค่ะ


    โรคพิษสุนัขบ้า
    โรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากเชื้อไวรัสเรบีส์ ที่มาจากการโดนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว ฯลฯ กัด ข่วน หรือแม้แต่น้ำลายที่มีเชื้อมาโดนบริเวณแผลหรือผิวหนังของลูกก็ทำให้ติดเชื้อได้ ซึ่งหากติดเชื้อพิษสุนัขบ้าอาจทำให้เสียชีวิตได้ค่ะ
    อาการของโรคพิษสุนัขบ้า โรคพิษสุขนัขบ้าส่วนใหญ่จะแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อไวรัสประมาณ 1 – 8 สัปดาห์ หรืออาจยาวนานกว่า 1 ปีค่ะ  ในช่วงแรกจะมีอาการเบื่ออาหาร เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว อ่อนเพลีย หลังจากนั้นอาการจะเริ่มรุนแรงขึ้น กระสับกระส่าย กลัวแสง กลืนลำบากโดยเฉพาะของเหลว กลัวน้ำ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ชัก เกร็ง หมดสติและอาจเสียชีวิตได้ การรักษาไม่ได้เป็นเพียงการรักษาตามอาการ ดังนั้นควรระวังและป้องกันไว้ก่อนดีกว่าค่ะ
    การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า หากที่บ้านเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าปีละครั้ง โดยเริ่มฉีดได้เมื่อสัตว์เลี้ยงอายุ 2 – 4 เดือน รักษาความสะอาดของสัตว์เลี้ยงอยู่เสมอ ควรหลีกเลี่ยงการให้ลูกไปเล่นกับสุนัขและแมวจรจัด หากถูกสัตว์เลี้ยงกัดหรือขวนให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสบู่หลายๆครั้ง แล้วเช็ดให้แห้งใส่ยารักษาแผลสดทันทีค่ะ และควรพาลูกไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าให้เร็วที่สุดค่ะ


    โรคหน้าร้อน โรคที่พบบ่อยในเด็กในช่วงฤดูร้อนวันหยุดปิดเทอมของเด็กๆ สามารถดูแลและป้องกันได้ค่ะ คุณแม่เป็นกำลังใจให้กับทุกครอบครัวค่ะ