Tag: นมแม่

  • หลัง 6 เดือนนมแม่ไร้ประโยชน์จริงหรือไม่?

    หลัง 6 เดือนนมแม่ไร้ประโยชน์จริงหรือไม่?

    นมแม่อาหารวิเศษสุดของเด็กทารก เพราะนมแม่ อุดมด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ที่เด็กต้องการ เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตและภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ แต่ก็มีข่าวลือที่ว่าต่อกันมา ว่าหลังลูก 6 เดือน นมแม่จะไม่มีประโยชน์

    ในครั้งจะมาไขข้อสงสัยให้กับคุณแม่มือใหม่ว่าหลัง 6 เดือนนมแม่ไร้ประโยชน์จริงหรือไม่

    คำตอบที่ว่า หลัง 6 เดือนนมแม่ไร้ประโยชน์ เป็นเรื่องที่ไม่จริง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนมแม่คือไม่ว่าจะนานขนาดไหน นมแม่ ก็เปนอาหารที่มีประโยชน์มากที่สุดสำหรับเด็ก แต่เพียงแค่ว่าหลังจากที่ลูกมีอายุ 6 เดือนขึ้นไป การที่ลูกกินนมแม่เพียงอย่างเดียว จะไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายของลูก

    นมแม่ประกอบด้วยสารอาหารอะไรบ้าง

    • โปรตีน
    • ไขมัน
    • น้ำตาล
    • แคลเซียม
    • โฟเลต
    • วิตามิน A,ฺB12,C

    นมแม่ควรให้ลูกกินนานเท่าไร

    แรกเกิด – 5 เดือน

    ลูกมีความต้องการนมแม่เพียงอย่างเดียว แค่เพียงนมแม่ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายของลูก แต่ก็อาจหาอาหารมาเสริมหลังจากที่ ลูกเข้าสู่ 4 เดือน เพื่อเป็นการฝึกให้ลูกริมลองรสชาติอื่นนอกจากน้ำนม

    6 เดือนไปจนถึง 1 ปี

    เมื่อเข้าสู่ 6 เดือน การกินนมเพียงอย่างเดียวจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของเด็กต้องมีอาหารเสริมอื่นควบคู่ไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามนมแม่ยังเป็นออาหารหลักของเด็กอยู่

    1 ปี

    เมื่อลูกมีอายุครบ 1 ปี นมแม่จะไม่ใช่อาหารหลักอีกต่อไป จะเป็นการกินข้าวเป็นหลักส่วนนมแม่เป็นอาหารเสริม แต่นมแม่ก็ยังคงประโยชน์มากมายเช่นเดิม แต่อาจจะน้อยลงตามธรรมชาติของร่างกายของแม่ตามความต้องการของลูก

    สำหรับคุณแม่บางคน ก็ยังอยากให้ลูกได้กินนมแม่ ไปจนลูกอายุ 5-6 ปี เพราะอยากให้ลูกได้รับการบำรุงสมองและภูมิคุ้มกันจากนมแม่ จึงกระตุ้นร่างกายให้ผลิตน้ำนมได้จนโต

    สารอาหารในน้ำนมแม่ 15 ออนซ์ ที่เด็กมีอายุ 1 ปี ขึ้นไปต้องการต่อวัน มีสัดส่วน ดังนี้

    • พลังงาน 29% /วัน
    • โปรตีน 43% /วัน
    • แคลเซียม 36% /วัน
    • Vitamin A 75% /วัน
    • โฟเลต 76% /วัน
    • Vitamin B12 94% /วัน
    • Vitamin C 60% /วัน

    ดังนั้น น้ำนมแม่ ก็ยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ และเต็มไปด้วยสารอาหารที่ครบถ้วนต่อความต้องการของลูก คุณแม่สามารถให้ลูกกินได้นานจนกว่าคุณแม่ไม่สามารถผลิตน้ำนมให้ลูกกินได้ค่ะ

    บทความที่เกี่ยวกับกับนมแม่

  • ลูกกินอาหารเสริม ได้เมื่อไรถึงจะเหมาะสม

    ลูกกินอาหารเสริม ได้เมื่อไรถึงจะเหมาะสม

    เมื่อไรลูกจะสามารถกินอาหารเสริมได้ เป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านสงสัย เรามาหาคำตอบกัน

    อาหารที่สำคัญของเด็กทารก โดยเฉพาะ 6 เดือนแรกหลังคลอด ก็คือนมแม่ การให้อาหารเสริมสำหรับเด็กทารกได้ต้องขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของระบบย่อยอาหารของเด็ก ซึ่งส่วนมากเด็กสามารถกินอาหารเสริมนมได้ เมื่อลูกเข้าสู่อายุ 4-6 เดือน หลังคลอด แต่ถ้าจะให้ดีคือนมแม่อย่างเดียวค่ะ

    การที่จะให้ลูกได้กินอาหารอื่นนอกจากนม ก็เพื่อให้ลูกได้ลองรสชาติใหม่ๆ นอกจากรสชาติของนม และเป็นการฝึกให้ลูกได้ฝึกกล้ามเนื้อของปากด้วย แต่อย่างไรเด็กวัยนี้ อาหารอย่างอื่นก็ยังไม่ใช่อาหารหลัก อาหารหลักคือนมแม่

    ความพร้อมของลูกก่อนกินอาหารเสริม

    ถ้าคุณลองสักเกตเด็กที่อายุ 5 เดือน จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการดูดนมของลูก ซึ่งเมื่อก่อนลูกจะดูดนมได้เวลานานๆ แต่พอมาช่วง 5 เดือน ลูกจะดูดครู่เดียว และก็เล่นกับแม่ หรือไม่ก็เล่นขวดนม เพราะลูกเริ่มเบื่อการดูดนม ในช่วงนี้คุณแม่สามารถเสริมอาหารให้ลูกได้กินแทนการดูดนมได้ ซึ่งคุณแม่ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าลูกจะกินได้นานเพียงใด ให้ลูกกินได้ตามความต้องการของลูก เพราะหากเราบีบบังคับในการกินของลูก จะส่งผลให้ลูกเบื่ออาหาร แต่ถึงอย่างไรก็ตาม น้ำนมแม่ ก็ยังเป็นอาหารหลักตลอดจนลูกอายุครบ 1 ขวบ แต่พอหลัง 1 ขวบ ก็จะค่อยๆเปลี่ยนอาหารหลักไปเป็นข้าว

    ฝึกให้ลูกกินนมจากถ้วย

    เด็กบางคน 5-6 เดือนจะเริ่มเบื่อขวดนม ก็ถือเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ได้รับการเตือนว่าให้หันมาเริ่มสอนการกินด้วยภาชนะ อื่น หรือจะให้หันมาสนใจถ้วย. โดยการเริ่มให้นมใส่ถ้วยแทน คุณแม่ค่อยๆ เพิ่มปริมาณนมในถ้วย ถ้าลูกดื่มจากถ้วยก็ให้ได้ทุกมื้อ ถ้ายังดื่มได้น้อยก็ไห้ดูดต่อจากขวดจนอิ่ม ต่อมาค่อยๆ งดนมขวดในมื้อที่ลูกไม่ค่อยสนใจ เมื่อลูกพร้อมจะดื่มนมจากถ้วย จะเห็นได้ว่ามีอะไรลูกจับเข้าปากหมด คุณแม่ควรหาถ้วยพิเศษแบบมีฝาปิดให้ลูกหัดดื่ม พอดื่มเก่งก็เอาฝาออก ถ้าจะให้ลูกเลิกขวดนมตั้งแต่อายุ 5 เดือน ก็ดูเหมือนว่าเร็วเกินไป ควรเริ่มหัดให้จิบจากถ้วยอย่างค่อยเป็นค่อยไป รอถึง 6 เดือนค่อยให้ดื่มจากถ้วย โดยแบ่งจากขวดนมมาใส่ถ้วยเล็กๆ สักครึ่งออนซ์ หัดให้จิบทีละน้อย เมื่อลูกเข้าอายุ 8 เดือนถ้าลูกไม่ชอบถ้วยเลย ก็อย่าบังคับ พออายุ 1 – 1 ขวบครึ่ง เด็กจะรู้จักดื่มจนหมดถ้วย

    ลูกกินอาหารเสริม ได้เมื่อไหร่

    คำแนะนำของสมาคมกุมารเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกาบอกว่า ควรให้ทารกทั่วไปตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 เดือน ดื่มนมเพียงอย่างเดียว เหตุผลก็คือ

    • เด็กทารกที่ได้รับอาหารเสริมเร็วเกินไป ก่อนอายุ 6 เดือน จะทำให้มีโอกาสเกิดการแพ้อาหาร เพราะระบบย่อยของทารกยังเจริญไม่สมบูรณ์ และหากทารกได้รับน้ำนมแม่เต็มที่ใน 6 เดือนถือว่าเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานอย่างดี ช่วยให้มีสารแอนติบอดี้มากพอจะต่อต้านภาวะภูมิแพ้ต่างๆ ได้
    • หากคุณให้อาหารเสริมเข้ามาแทนที่นมแม่ จะทำให้ทารกทานนมแม่ได้น้อยซึ่งพลาดโอกาสที่จะได้รับสารอาหารชั้นดีจากนมแม่
    • ระบบย่อยอาหารของทารกยังเจริญไม่เต็มที่ อาจทำให้ย่อยอาหารเสริมยาก ทำให้ท้องเสียท้องผูก
    • ทารกในวัยไม่เกิน 6 เดือน ยังไม่รู้จักกลืน และยังนั่งไม่ได้ การให้อาหารเสริมจะค่อนข้างสร้างความลำบากในการปรับตัว ควรรอให้ลูกโตกว่านี้ รู้จักนั่งเอง รวมทั้งถึงวัยที่เริ่มมีฟันขึ้น และใช้ฟันได้

    เริ่มมื้อแรกด้วยความสุข

    เมื่อถึงระยะเวลาที่ให้อาหารเสริมได้ เด็กไม่เคยกินอาหารเสริมมาก่อนจะอยากดูดนมก่อนเสมอ เด็กเหล่านี้มักจะไม่มีความสุขนักถ้าก่อนมื้อนมมีอาหารจากช้อนมาแทนนม

    ควรให้นมแม่หรือนมผสมก่อนแล้วต่อด้วยอาหารเสริมเช่นนี้สัก 1-2 เดือน หรืออาจลองดูก่อนโดยให้อาหารเสริมระหว่างมื้อนมสักครั้ง แล้วค่อยๆ เลื่อนเวลามาจนกระทั้งกินตามหลังดูดนมทันที ลูกจะทราบเองว่าอาหารเสริมทำให้อิ่มเหมือนนม ต่อไปคุณจะให้ลูกกินอาหารเสริมแทนนมทั้งมื้อก็ได้

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ในเวลาที่คุณตัดสินใจจะให้อาหารเสริมคุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มให้อาหารเสริมในปริมาณเท่าช้อนชาหรือน้อยกว่านั้น แล้วค่อยๆ เพิ่มทีละน้อยจนได้ 2-3 ช้อนโต๊ะ อย่าเริ่มครั้งแรกขณะที่กำลังหิวจัด เพราะลูกไม่เคยเรียนรู้การกลืนอาหารมาก่อน กำลังหิวๆ อาจจะสำลักได้ ถ้าลูกไม่ประทับใจอาหารมื้อแรก มื้อต่างๆ มาก็กลายเป็นเรื่องยาก อย่ารีบร้อน ต้องให้เวลาลูกเรียนรู้อาหารรสใหม่ และต้องใช้เวลาหลายๆวัน จนลูกรู้สึกชอบและอร่อย ต่อไปลูกจะดีใจที่เห็นอาหารของคุณแม่แสดงความกระตือรือร้นอยากกินจนคุณป้อนแทบไม่ทัน

    บทความที่เกี่ยวข้องอาหารเสริม และนมแม่

  • เลี้ยงลูกด้วยนมผสม แก้ปัญหาไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน

    เลี้ยงลูกด้วยนมผสม แก้ปัญหาไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน

    นมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดของลูกวัยทารก โดยเฉพาะช่วงที่ทารก 2-3 เดือนแรก ที่ลูกต้องการนมแม่มากที่สุด แต่ก็มีคุณแม่หลายท่านที่มีปัญหาที่น้ำนมน้อย หรือไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน ซึ่งมีปัจจัยได้หลายสาเหตุ ซึ่งในบทความนี้จะยังไม่พูดถึงสาเหตุที่คุณแม่มีน้ำนมน้อย หรือไม่มี

    แต่จะมาพูดถึงการให้ลูกด้วยนมผสมแทนการกินนมแม่ แต่ขอออกตัวไว้ก่อนว่า นมแม่คือนมที่ดีที่สุด แต่ว่าทำไมให้กินนมผสม เพราะ มาช่วยแก้ไขปัญหาให้กับคุณแม่ในเรื่องน้ำนมน้อย หรือไม่มีน้ำนมของแม่ และไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยในเรื่องเวลาการให้นมลูก เนื่องจากคุณแม่บางท่านจำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่มีเวลาปั๊มนมให้ลูก ดังนั้น การให้ลูกกินนมผสมก็เป็นวิธีแก้ได้อีกทางหนึ่ง

    เรามาเข้าเรื่องการเลยดีกว่า ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักชนิดของนมผสมกันว่ามีอะไรบ้าง เพราะไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนสามารถจะกินนมได้ทุกชนิด ใช่ว่าจะหยิบแบบไหนมาก็ได้ ไม่ใช่แบบนั้น ต้องเลือกนมผสมที่เหมาะกับลูกตามช่วงวัย และร่างกายของลูก

    ชนิดของนมผสม

    ในปัจจุบันรมผงในท้องตลาด มีมากกมายหลายและยังพัฒนาสูตรนมผงให้เกือบทัดเทียมกับนมแม่แล้ว อีกทั้งยังเพิ่มวิตามินและสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาและการเจริญเติบโตอีกด้วย ซึ่งทุกชนิดได้ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา หรือ อย. สูตรนมทั้งหลายจะระบุไว้บนฉลากอยู่ข้างผลิตภัณฑ์ รวมทั้ง วันเดือนปีที่ที่ผลิตและหมดอายุ อีกทั้งยังบอกถึงวัยที่เหมาะสมต่อนมผงชนิดนั้นๆ อีกด้วย แบ่งออกมาด้วยกัน 3 ชนิด

    • นมผงดัดแปลงสำหรับทารก (เหมาะสำหรับเด็กช่วงอายุ 6 เดือนแรกหลังคลอด)
    • นมสูตรต่อเนื่อง (เหมาะสำหรับ เด็กช่วงอายุ 6 เดือน ถึง 1 ปี)
    • นมครบส่วน (เหมาะสำหรับ เด็กช่วงอายุ 1 ปี ขึ้นไป

    นมผสมสำหรับเด็กที่มีอาการแพ้และเป็นโรคในบางชนิด

    เด็กบางคนเมื่อหลังคลอดออกมา จะมีอาการแพ้นมวัว หรือเป็นโรคบางชนิดที่ไม่สามารถกินนมได้ ต้องให้นมประเภทอื่น ที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ซึ่งนมกลุ่มนี้บางชนิดทำมาจากถั่วเหลือง บางชนิดทำมากจากน้ำตาลแล็กโตส ที่จะมาช่วยในการย่อย และจัดสัดส่วนที่พอเหมาะให้กับเด็กที่ไม่สามารถกินนมธรรมได้ หรือเด็กที่มีอาการท้องเดิน หรือปัญหาไม่ย่อยนมวัว

    คำแนะนำ นมถั่วเหลืองเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่คุณแม่เลือกมาให้ลูกกินได้ ถึงแม้นมถั่วเหลืองจะมีสรรพคุณด้อยกว่านมวัวก็ตาม แต่คุณประโยชน์ก็เกือบทัดเทียมนมวัวมีโปรตีนสูง อีกทั้งราคายังไม่แพงหาซื้อง่าย อีกด้วย

    สารอะไรบ้างที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ของนมวัว

    ในปัจจับันบริษัทต่างๆ ที่ผลิตนมวัวพยายามเสริมสารอาหารให้คลายนมแม่มากที่สุด เช่น เสริมวิตามิน แร่ธาตุบางอย่าง รวมทั้งไขมันที่มีประโยชน์และน้ำตาลแล็คโทส แต่ก็ยังขาดสารบางอย่างที่มีในนมแม่โดยเฉพาะ คือ แอนติบอดี้ หรือภูมิคุ้มกันโรค และเอนไซท์ที่ช่วยย่อยไขมัน เรียกว่า Lipase ซึ่งเด็กบางคนยังต้องการกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวชนิดสายยาว (Long-Chain Poly Unsturated Fatty Acid) ซึ่งมีความสำคัญในการพัฒนาการสมอง และประสาทตา ซึ่งในปัจจุบันก็ได้เสริมสารดังกล่าวเข้าไปในนมผงแล้ว

    นมผงแบบชนิดธาตุเหล็ก โดยเฉพาะในเด็กที่ได้สูตรต่อเนื่องหลัง 6 เดือน ก็มีโปรตีน เหล็ก และวิตามินซีเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันภาวะการณ์ขาดธาตุเหล็ก ไม่ให้เกิดโรคโตจาง นมสูตรเสริมธาตุเหล็กเหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเริมลดนมแม่และใกล้หย่านมแม่

    แต่อย่างไรก็ตาม นมผสมก็ไม่ยังไม่สามารถเทียบเท่ากับนมแม่ ดังนั้น หากคุณแม่สามารถให้นมแม่ได้ ก็ควรให้นมแม่ดีกว่าค่ะ

    ปริมาณที่ลูกสามารถกินนมผสมต่อวัน

    สำหรับคุณแม่มือใหม่ แล้วก็ยังมีความกังวลอยู่ว่าต้องให้นมในปริมาณเท่าไรถึงจะดี ซึ่งจะขอแนะนำแบบเข้าใจง่ายละกันว่า ซึ่งแบ่งตามน้ำหนักและอายุเด็กได้ดังนี้

    • เด็กที่น้ำหนัก 2.7 กิโลกกรัม ปริมาณที่เหมาะสมคือ 3 ออนซ์ ในทุกๆ 3 ชั่วโมงในช่วงเวลากลางวัน และทุกๆ 4 ชั่วโมงในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งรวมทั้งหมด 21 ออนซ์ต่อวัน
    • เด็กที่มีน้ำหนัก 2.7 – 3.5 ปริมาณที่เหมาะสมคือ 4 ออนซ์ ในทุกๆ 4 ชั่วโมง ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ซึ่งรวมทั้งหมด 24 ออนซ์ต่อวัน
    • เมื่อเด็กเข้าสู่อายุได้ 2-3 สัปดาห์หลังคลอดปริมาณมื้อกินของลูกจะลดลง ซึ่งในช่วงเวลากลางคืนลูกอาจจะตื่นขึ้นมาในช่วง 4 ทุ่ม และจะหลับยาวไปถึงช่วงตี 2 คุณแม่สามารถเพิ่มปริมาณของนมให้มากขึ้น หรือจะแบ่งมื้ออาหารอย่างไรก็ได้ เพราะถ้าลูกรับนมเพียงพอ น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้น เด็กเกิดใหม่ ยังไม่ได้กินนมเป็นมื้อ ควรตามใจลูก ให้ลูกกินถ้าลูกหิว
    • เมื่อลูกโตขึ้น มื้อนมก็จะห่างออกไปอีก แต่จะกินปริมาณมากขึ้น เช่น นม 3 ออนซ์ จำนวน 8 ขวดต่อวัน ต่อมาก็กลายเป็น 4 ออนซ์กิน 7 ขวด และจะกลาย เป็น 5 ออนซ์ กิน 6 ขวด ในที่สุดจะกิน 6 ออนซ์จำนวน 5 ขวดต่อวัน คุณแม่ค่อยๆเหนื่อยน้อยลง

    การเตรียมนมผสม

    หัวใจสำคัญที่สุดในการเตรียมนมผสม คือ ความสะอาด คุณต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ล้างขวดให้สะอาดทุกครั้งหลังจากใช้ โดยเฉพาะตรงคอขวดรวมทั้งจุกนม ซึ่งมักมีคราบนมตกค้างอยู่ ทำตามขั้นตอนที่แนะนำ อย่าเติมปริมาณนมเกินที่ระบุไว้ข้างกระป๋องจะทำให้นมข้นมากเกินไป เพิ่มการทำงานของไตเด็กให้หนักขึ้น

    วิธีการให้นมขวด

    • คุณพ่อหรือคุณแม่นั่งบนเก้าอี้ ให้ฝ่าเท้าวางนสบบนพื้นได้สบายๆ แผ่นหลังมีที่หนุนอย่างพอดี ถ้าจำเป็นควรใช้หมอนหนุน อุ้มลูกให้กระชับเสมอเวลาให้นม
    • ทดสอบอุณหภูมิน้ำนมให้เหมาะสม โดยหยดลงด้านในของข้อมือ จุกนมที่ดีควรทำให้น้ำนมหยดคราวๆละหลายๆ หยดต่อวินาที
    • ใช้นิ้วมือข้างที่ถือขวดนม แตะแก้มลูกเบาๆ เพื่อให้ลูกหันหน้าไปหาขวดนม
    • จับขวดนมให้แน่น และเอียงพอเหมาะ ให้มีน้ำนมอยู่ในจุกนมตลอดเวลา ป้องกันไม่ให้อากาศเข้าท้องลูก ระหว่างที่ให้นมควรจะหยุดสักครั้งหรือ 2 ครั้ง เพื่อไล่ลมให้ลูก แต่ถ้าลูกเลิกดูดนมเร็วทั้งๆ ที่ลูกยังหิวอยู่ อาจจะมีอะไรผิดปกติก็ได้

    บทความที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกนมผสม

  • ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่พบบ่อย

    ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่พบบ่อย

    การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับแม่และลูกน้อย แต่คุณทราบกันหรือไม่ว่าคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องง่าย สบาย ประหยัดค่าใช้จ่าย วันนี้เรารวบรวมปัญหาการเลี้ยงดูด้วยนมแม่ที่พบบ่อยและวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวมาฝากคุณแม่ทุกท่านค่ะ

    ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่พบบ่อย

    1.ปัญหาน้ำนมน้อย เป็นปัญหาของคุณแม่ทุกคนไม่ว่าคุณแม่จะเคยมีลูกแล้วก็ตามค่ะ ก่อนอื่นคุณแม่ต้องทำความเข้าใจก่อนนะคะ ว่าในช่วง 1-2 วันแรกหลังคลอด น้ำนมของคุณแม่ยังไหลไม่เต็มที่ทำให้ดูเหมือนว่ามีน้ำนมน้อย ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ดังนี้ค่ะ

    • กระตุ้นน้ำนมด้วยการให้ลูกดูดบ่อยๆ เมื่อลูกดูดนมจากเต้านมบ่อยๆร่างกายของคุณแม่จะไปกระตุ้นฮอร์โมนในการผลิตน้ำนมค่ะ
    • บีบน้ำนมระหว่างมื้อ วิธีนี้เป็นกระตุ้นฮอร์โมนในการผลิตน้ำนม เพื่อระบายน้ำนมออกมาบ้างและป้องกันนมคัดดึงค่ะ
    • การนวดเต้านม ด้วยการใช้มือนวดที่หน้าอกวนรอบๆเต้าประมาณ 5-7 นาที จากนั้นนวดที่หัวนมและดึงหัวนมเบาๆอย่างน้อย 4-5 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการไหลของน้ำนมและยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายค่ะ
    • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ โดยเฉพาะน้ำอุ่นจะช่วยให้นมนมไหลได้ดีมากขึ้นค่ะ
    • รับประทานอาหารกระตุ้นน้ำนม พืชผักสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นกระบวนการผลิตน้ำนม ได้แก่ หัวปลี ขิง กะเพรา ใบแมงลัก ฟักทอง เป็นต้น

    2.น้ำนมไหลหรืออกรั่ว ปัญหานี้มักเกิดภายหลังจากให้นมลูกหรือคุณแม่ที่ปริมาณน้ำนมมาก ซึ่งการรั่วไหลอาจเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายกำลังปรับตัวในช่วงการผลิตน้ำนมค่ะ และมักไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลค่ะเนื่องจากปัญหานี้สามารถหายไปเองได้เมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้วค่ะ อาการน้ำนมไหลคุณแม่อาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แต่สามารถใช้แผ่นดูซับน้ำนมเพื่อป้องกันการไหลเปื้อนเสื้อได้ค่ะ

    3.เต้านมคัด เรื่องปกติสำหรับคุณแม่ให้นมลูกทุกคนค่ะ เมื่อปริมาณน้ำนมเพิ่มขึ้นแต่ไม่สามารถระบายน้ำนมออกหรือระบายออกไม่ทัน จึงทำให้เกิดอาการเต้านมคัด บวม แข็ง เจ็บและในบางครั้งเต้านมร้อนค่ะ ซึ่งส่งผมให้ลูกดูดนมได้ยาก น้ำนมพุ่งค่ะ เต้านมคัดตึงสามารถแก้ปัญหาได้ดังนี้

    • ปั้มน้ๆนมหรือบีบน้ำนมออกระหว่างมื้อ โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีปริมาณน้ำนมมากค่ะ
    • ให้ลูกดูดนมบ่อยขึ้น อย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมงค่ะ 
    • นวดประคบเต้านมด้วยน้ำเย็นสลับน้ำอุ่น

    4.หัวนมแตก อาการเจ็บหัวนมในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด และเป็นแค่ตอนลูกเข้าเต้าตอนแรกแต่ไม่ได้เจ็บตลอดการดูดนม มักเกิดจากปัจจัยต่างๆดังนี้

    • ท่าดูดนมผิด ควรจัดการให้นมที่ถูกต้องค่ะ
    • พังผืดใต้ลิ้นทำให้เกิดการเสียดสีกับหัวนมเวลาที่ลูกดูดนม หากสงสัยว่าดูมีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพลิบเพื่อทำการขลิบเสันบางๆนั้นออกค่ะ
    • ปั้มนมแรงเกินไป อุปกรณ์ปั๊มนมที่ใหญ่ไปหรือเล็กไป รวมถึงแรงดูดรุนแรงอาจทำให้หัวนมแตกได้ค่ะ
    • การติดเชื้อราซึ่งจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนเหมือนมีมีดบาดและเจ็บตลอดเวลาที่ลูกดูดนม การตอเชื้อรามักเกิดจากความชื้น ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยอย่าใช้แผ่นซับน้ำนมชนิดที่ทำจากพลาสติก ให้ใช้ชนิดที่ทำจากผ้าฝ้ายและให้เปลี่ยนบ่อยๆอย่าให้ชื้นค่ะ หรือถ้าหัวนมเปียกจากน้ำลายลูกควรให้หัวนมแห้งเสียก่อนค่ะ
    • ภาวะเส้นเลือดหดตัวแบบรุนแรงผิดปกติ อาจถูกกระตุ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเย็นลง อาการ คือ ปวดแสบปวดร้อน เหมือนเข็มทิ่มแทงอย่างรุนแรง สีของหัวนมจะซีดลงอย่างรวดเร็วหลังลูกกินเสร็จ

    5.ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาพังผืดใต้ลิ้น ติดขวดนม ท่านอนไม่ถนัด น้ำนมไหลน้อยหรือเร็วเกินไป เป็นต้น ซึ่งวิธีการแก้ไขจะแตกต่างกันไปตามสาเหตุที่เกิดขึ้นค่ะ

    6.ท่อน้ำนมอุดตัน การอุดตันในท่อน้ำนมเกิดจากการอักเสบในเนื้อเยื่อเต้านม เนื่องจากน้ำนมไม่ได้ระบายออกมาปล่อยนมคัดเป็นเวลานาน หรือการใส่เสื้อชั้นในคับแน่นจนเกินไป ทำให้น้ำนมไหลไม่สะดวก เต้านมแข็งเป็นก้อนแข็งค่ะ รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือมันมากเกินไปค่ะ 

    นอกจากปัญหาเหล่านี้ที่คุณแม่ต้องเจอแล้วยังมีอีกหลายสิ่งอย่างให้คุณแม่ได้เรียนรู้ไปพร้อมกับลูกน้อยของคุณค่ะ เป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ทุกท่านกำลังรู้สึกท้อหรือเหนื่อยค่ะ

  • ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ทำอย่างไรดี

    ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ทำอย่างไรดี

    การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นประสบการณ์สำหรับคุณแม่ทุกคน และการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก เนื่องจากในนมแม่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีสำหรับดี เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดีต่อตัวลูกน้องค่ะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทารกแรกเกิดจะเรียนรู้และสามารถดูดนมแม่ได้ค่ะ ปัญหาลูกไม่เข้าเต้า ลูกไม่ยอมดูดนมแม่ทำอย่างไรดี วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆแก้ปัญหานี้มาฝากคุณแม่ค่ะ

    ลูกไม่เข้าเต้าเกิดจากอะไร

    ปัญหาลูกไม่ดูดนมแม่จากเต้า ลูกไม่ยอมเข้าเต้าสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุค่ะ เช่น ติดขวดนม เนื่องจากเด็กบางคนมีการเสริมนมผงตั้งแต่อยู่โรงพยาบาลค่ะ โดยอ้างว่าน้ำนมแม่ยังไม่มาค่ะ หรือการให้ลูกกินนมแม่สบลับกับขวดนมค่ะ ลูกมีปัญหาพังผืดใต้ลิ้น ท่านอนดูดนมไม่ถูกต้อง ทำให้ดูดเต้ายาก ไม่ถนัดค่ะ น้ำนมแม่น้อยหรือไหลช้า หรือคุณแม่บางคนที่น้ำนมเยอะพุงแรงทำให้ลูกกลืนนมไม่ทันได้ค่ะ อื่นๆ เช่น แม่ไม่มีหัวนม หัวนมบอดหรือสั้น เป็นต้น

    ผลกระทบของลูกไม่เข้าเต้า

    ผลของการที่ลูกไม่ดูดนมจากเต้าหรือไม่ยอมเข้าเต้า ซึ่งการปั้มน้ำมักส่งผลให้ผลิตน้ำนมได้น้อย หรือท่อน้ำนมอุดตัน อาจทำให้เต้านมปวดบวมได้ค่ะ และให้ลูกดูดเรื่อยๆทุก 2-3 ชั่วโมงจะยิ่งเป็นการกระตุ้นน้ำนมได้ดีมากๆเลยค่ะ

    เคล็ดลับช่วยให้ลูกเข้าเต้า

    การแก้ปัญหาลูกไม่ยอมดูดนมจากเต้า คุณแม่ต้องใจแข็ง อดทน ยอมเหนื่อยและใจเย็นๆค่ะ ค่อยเรียนรู้และปรับเปลี่ยนค่ะ ซึ่งสามารถปฏิบัติตามเคล็ดลับต่างๆได้ดังนี้ค่ะ

    • การวางตำแหน่งลูกน้อยของคุณเป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่อทารกอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องจะช่วยให้ลูกของคุณดูดนมได้ง่ายขึ้นค่ะ รวมถึงการสัมผัสยังช่วยทำให้ลูกรู้สึกผ่อนคลายอบอุ่นค่ะ
    • ให้ลูกเรียนรู้ความหิว เพราะตามสัญชาตญาณถ้าหิวถึงที่สุดแล้วลูกยอมดูดนมแม่ค่ะ ซึ่งอาจจะใช้เวลาแค่ 2-3 วันเท่านั้น
    • หลีกเลี่ยงการให้ลูกดูดนมจากขวดสลับกับนมแม่ รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้จุกนมยาง จุกนมหลอกค่ะ
    • อุ้มลูกบ่อยๆ ให้ลูกเคยชินกับไออุ่นจากอกแม่ ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะติดมือค่ะ เพราะเขาจะติดเราได้ไม่นานค่ะ เมื่อเริ่มโตขึ้นเขาจะเริ่มห่างคุณไปเรื่อยได้เองค่ะ
    • กรณีที่คุณแม่น้ำนมมากไหลเร็ว ควรปั้มน้ำนมก่อนให้ลูกดูดค่ะ เพื่อชะลอการไหลของน้ำนมค่ะ
    • กรณีกลัวลูกจะติดเต้านมแล้วเลิกยาก กรณีนี้คุณแม่เมื่อลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไปเริ่มรับประทานอาหารอื่นๆร่วมด้วย คุณแม่สามารถป้อนนมลูกด้วยวิธีอื่นๆร่วมด้วยค่ะ เช่น แก้ว ช้อน หรือ หลอด เป็นต้น
    • กรณีที่คุณแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน และจำเป็นต้องให้ลูกกินนมจากขวดนม ควรเลือกขวดนมที่ลักษณะใกล้เคียงกับเต้านมแม่ และเลือกจุกนมให้เหมาะสมกับอายุของลูกค่ะ และเมื่อกลับมาบ้านให้ลูกดูดนมจากเต้าของคุณแม่เท่านั้นค่ะ

    คุณแม่หลายๆท่านคงท่านทราบกันดีอยู่แล้วว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นมีประโยชน์ต่อลูกน้อยอย่างไรบ้าง แต่ทราบหรือไม่ว่านอกจากประโยชน์ที่ดีต่อลูกแล้ว ยังช่วยให้คุณแม่เผาพลาญไขมันได้ดี ผิวสวย หุ่นกระชับได้เร็วขึ้นค่ะ และทางทีมงาน thaichildcare สนับการเลี้ยงดูด้วยนมแม่ค่ะ

  • 5 อาหารที่ทำให้ลูกท้องอืด หากให้ลูกกินมากไป

    5 อาหารที่ทำให้ลูกท้องอืด หากให้ลูกกินมากไป

    อาการลูกท้องอืด อาจจะเป็นอาการที่ไม่ได้รุนแรงอะไร แต่ก็เป็นการทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายตัว จนร้องไห้งอแง ได้ อาการท้องอืดสามารถเกิดได้หลายสาเหตุ (คลิ๊กเพื่ออ่านลูกท้องอืดบ่อย รับมืออย่างไร) ส่วนใหญ่มาจากอาหารที่แม่หรือลูกกินเข้าไป ในครั้งนี้ มารู้กันว่า 6 อาหารที่ทำให้ลูกท้องอืด หากแม่หรือลูก กินมากจนเกินไป มีดังนี้

    ธัญพืช

    อาจสงสัยว่าทำไมธัญพืช ไม่ควรกินมากจนเกิดมันมีประโยชน์ไม่ใช่หรือ ? เพราะธัญพืช ถึงแม้จะอุดมไปด้วย วิตามิน และแร่ธาตุที่ดี แต่ในธัญพืชก็มีส่วนประกอบของกลูเตน ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร หากกินมาจนเกินไป

    (กลูเตน คือ โปรตีนชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ลักษณะคล้ายกาว เชื่อมส่วนของอาหาร พบมากใน ข้าวสาลี ข้าวบาเลย์ (อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ วิกิพีเดีย)  

    แตงโม

    ความหวานของแตงโม เป็นไปไม่ได้ที่จะเด็กจะไม่ถูกใจ แต่ความหวานของแตงโมก็อาจทำให้เด็กเกิดอาการท้องอืด ได้ เนื่องจากน้ำตาลฟรักโกสจะมีมากในแตงโม และเมื่อมีมาก อาจทำให้ร่างกายดูซึมน้ำตาลฟรักโกสไปใช้ไม่หมด ส่งผลทำให้ท้องอืด

    (ฟรักโกส คือ น้ำตาล จำพวกโมโนแซ็กคาไรด์ เป็น1 ใน 3  น้ำตาลสำคัญในเลือด และเป็นน้ำตาลที่สำคัญที่สุด จะพบได้มากใน น้ำผึ้งและผลไม้ (อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ วิกิพีเดีย))

    ผักในกลุ่มกะหล่ำ

    ผักในตระกูลนี้ จะมีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรต ซึ่งการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต มีเพียงแบคทีเรียในลำไส้เท่านั้นที่จะทำหน้าที่ย่อยสลาย และกว่าจะย่อยสลายก็ใช้เวลานาน ระหว่างนั้น ก็ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารขึ้นมา และถ้าหากกินมากจนเกินไป ดังนั้น คุณแม่ ต้องคอยระวัง ไม่ควรให้ลูกกินผักตระกูลนี้มากเกินไป

    ผักตระกูลหอม

    ผักตระกูลนี้ จะมีคาร์โบไฮเครตชนิดหนึ่ง ที่ลำไส้จะดูดซึมไปใช้ได้น้อย คือ ต้นหอม หัวหอมแดง หอมหัวใหญ่ และเมื่อลำไส้ดูดซึมไปใช้น้อย ทำให้ตกค้างและหลงเหลือกลายเป็นแก๊ซในกระเพราะอาหาร ทำให้ท้องอืด

    ถั่ว

    เนื่องจากถั่วจะมีเส้นใย ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และไม่ถูกดูดซืมได้จากลำไส้เล็ก ทำให้ตกค้างและเกิดแก๊ส ทำให้เกิดอาการท้องอืด ค่ะ

    แนะนำวิธีไม่ให้ลูกท้องอืดในเวลาที่ลูกกินนม

    • เวลาลูกกินนมแม่ให้ยกหัวลูกให้สูงกว่าร่างกาย เพื่อน้ำนมที่ลูกกินเข้าไปไหลสู่ร่างกายได้ง่าย
    • เมื่อหลังการให้นม คุณแม่ควรไล่ลมให้แม่ ให้ลูกเรอ ออกมา เพื่อระบายลมในท้องของลูก
    • ถ้าลูกกินนมขวด ให้เช็คขวดนมก่อนว่า จุกนมมีขนาดเล็ก หรือใหญ่เกินไปหรือไม่ เพราะหากเล็กไปก็อาจทำให้ลมเข้าท้องมาก เนื่องจากลูกอาจดูดแรง แต่ถ้าใหญ่เกินไปก็อาจทำให้ลูกสำลัก

    บทความเกี่ยวกับ ลูกท้องอืด

  • ลูกแพ้อาหาร อันตรายถึงชีวิต สิ่งที่พ่อแม่ต้องรู้

    ลูกแพ้อาหาร อันตรายถึงชีวิต สิ่งที่พ่อแม่ต้องรู้

    การแพ้อาหารพบบ่อยมากในเด็กเล็กค่ะ เมื่อถึงช่วงอายุที่ลูกน้อยต้องเริ่มรับประทานอาหารอื่นๆนอกเหนือจากนม ซึ่งถือว่าเป็นก้าวสำคัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ ความกังวล การเลือกอาหารให้ลูกน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการแพ้อาหารในเด็ก ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรู้สัญญาณของปฏิกิริยาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นค่ะ เนื่องจากการแพ้อาหารรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ค่ะ

    การแพ้อาหารเป็นปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันที่มีผลหลังจากรับประทานอาหารบางชนิด ความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละคนค่ะ ซึ่งเด็กที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้อาการสูงคือ พ่อแม่หรือคนในครอบครัวมีประวัติการแพ้อาหาร หรือโรคหอบหืด อาการแพ้โดยทั่วไปมักจะแสดงอาการต่างๆ ดังนี้

    • ผื่นรอบปาก ผื่นคัน หรือผื่นคล้ายลมพิษตามร่างกาย ซึ่งเป็นอาการเบื้องต้นที่คุณสามารถสังเกตได้ในเด็กที่มีอาการแพ้ค่ะ
    • คันคอและลิ้น หรือดวงตา น้ำตาไหล
    • ใบหน้าริมฝีปากหรือลิ้นบวม
    • จามต่อเนื่อง มีน้ำมูกใสหรือจมูกอุดตัน
    • ไออย่างต่อเนื่อง 
    • คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ
    • ปวดท้อง หรือท้องเสีย หากมีอาการท้องเสียต้องระมัดระวังภาวะร่างกายขาดน้ำค่ะ
    • ปัญหาระบบทางเดินหายใจ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจดังเสียงฮืด
    • หมดสติ ซึ่งอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ

    อาหารที่มักก่อให้เกิดอาการแพ้ที่พบได้บ่อยในเด็ก ได้แก่

    • ไข่ 
    • ถั่วเหลือง
    • นมวัว หรือที่เรียกว่า แพ้โปรตีนนมวัว
    • อาหารทะเล เช่น กุ้ง ปลาหมึก เป็นต้น
    • ธัญพืชต่างๆ เช่น งา วอลนัท,อัลมอนด์ เป็นต้น
    • ขาวสาลี หรือแป้งสาสี ซึ่งมักเป็นส่วนประกอบอาหารหลากหลายชนิด เช่น เบเกอรี่ สปาเก็ตตี้ ซาลาเปา มันฝรั่งทอด ขนมกรอบบางชนิด ฯลฯ

    การรักษาอาการแพ้ที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นการรักษาตามอาหารและความรุนแรงค่ะ เช่น การทานยาแก้แพ้ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง หรือใบบางรายที่มีอาการแพ้เฉียบพลันหรือรุนแรงต้องได้รับการฉีดยาทันทีที่มีอาการค่ะ อาการแพ้อาหารในบางรายสามารถหายหรือรับประทานอาหารชนิดนั้นได้เมื่อโตขึ้นค่ะ

    ควรทำอย่างไรถ้าลูกมีอาการแพ้

    หากลูกน้อยของคุณจะแสดงอาการสัญญาณของการเกิดอาการแพ้อาหาร สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือ ให้ลูกของคุณหยุดทานอาหารนั้นทันทีพร้อมสังเกตอาการที่เกิดขึ้นค่ะ และควรรีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ

    อาการแพ้อาหารในเด็กทารกสามารถลดหรือป้องกันได้ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

    • การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ช่วยลดโอกาสของการแพ้เนื่องจากน้ำนมแม่นั้นอุดมไปด้วยแอนติบอดีจึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงค่ะ
      *ให้นมแม่นานขนาดไหน
      *อาหารสำหรับแม่ที่กำลังให้นมลูก
    • หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ก่อนอายุ 6 เดือนค่ะ
    • เด็กทารกที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงของอาหารหรือนมสูตรถั่วเหลือง เนื่องจากโปรตีนจากถั่วเหลืองสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ในทารกได้ค่ะ
    • เมื่อเริ่มรับประทานอาการควรเริ่มให้ลูกทานครั้งละน้อยๆ พร้อมสังเกตอาการหลังรับประทานอาหาร รวมถึงลักษณะอุจจาระของลูกน้อย เนื่องจากเด็กบางรายอาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลวจากการรับประทานอาหารบางชนิด
    • หากพบอาการผิดปกติหรือมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ

    บทความที่เกี่ยวกับการแพ้อาหาร

    *ลูกแพ้อาหารผ่านนมแม่

  • อาหารที่เหมาะสมกับแม่ที่กำลังให้นมลูก และเทคนิคการให้นมแม่

    อาหารที่เหมาะสมกับแม่ที่กำลังให้นมลูก และเทคนิคการให้นมแม่

    อาหารที่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นมแม่

    อาหารสำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นมแม่ ต้องมีส่วนประกอบของแร่ธาตุ เพราะแร่ธาตุที่มีความจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของลูก มีหลายอย่าง โดยเฉพาะแร่ธาตุแคลเซียม ซึ่งแร่ธาตุนี้จะช่วยในการสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูก ส่งผลให้ทารกเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น นมที่มีส่วนประกอบของแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ ก็เป็นหนึ่งในอาหารที่สำคัญที่คุณแม่ที่กำลังให้นมลูกที่จำเป็นต้องกิน และอาหารอีกอย่างที่คุณแม่ก็ควรกินก็คือ ผลไม้ที่มีวิตามินซีที่สูง รวมไปถึงเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง ถ้าสรุปกันง่ายๆ คุณแม่ที่กำลังให้นมลูก ควรที่จะกินอาหารที่ให้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายที่ต้องกาย

    ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นของอาหารสุกๆดิบ อาหารที่เป็นหมักของดอง น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง หรืออาหารที่จะแสลงต่อร่างกาย เป็นต้น

    เกล็ดความรู้ “คุณแม่ที่กำลังให้นมลูกควรดื่นน้ำก่อนการให้นมประมาณ 10- 15 นาที”

    เทคนิคการช่วยให้นมลูกง่ายขึ้น

    ให้ลูกดูดนมบริเวณลานนมด้วย

    เด็กส่วนมากจะมักดูดนมเฉพาะบริเวณหัวนม ซึ่งคุณแม่ควรที่จะให้ลูกดูดบริเวณลงคล้ำที่อยู่รอบบริเวณหัวนม เรียกว่า “ลานนม” ด้วย เพราะบริเวณลานมจะมีท่อน้ำนมที่เชื่อมต่อ

    “ทำไมต้องให้ดูดบริเวณลานนมด้วย” เพราะจะช่วยให้คุณแม่ไม่เจ็บขณะที่ลูกดูดนม และเป็นการกระตุ้นให้น้ำนมเพิ่มมากขึ้น

    วิธีการให้ลูกไม่ดูดนมแค่หัวนม โดยการที่คุณแม่ใช้ปลายนิ้ว (ตัดเล็บด้วยเพราะเล็บอาจทำอันตรายต่อเด็กได้) สอดเข้าไปทางมุมปากพร้อมกับยื่นบริเวณลานนมเข้าไปให้ลึก พยายามให้ลูกดูดบริเวณลานนมเสมอ

    ลูกดูดนมหมดเต้า

    คุณแม่หลายท่านนิยมให้ลูกดูดนมข้างใดข้างหนึ่งจนหมดเกลี้ยง เพราะมีความเข้าใจว่าจะช่วยให้ผลิตน้ำนมที่มากขึ้น และเมื่อลูกจะกินในมื้อต่อไป ก็จะเปลี่ยนข้าง

    แต่ที่จริงแล้ว ควรดูดนมทั้ง 2 ข้าง โดยข้างหนึ่งประมาณ 10-15 นาที ไม่ควรเกินกว่านี้ หากลูกยังไม่อิ่มก็เปลี่ยนไปอีกข้าง

    5 ลักษณะของทารกที่ได้จากการดูดนม

    • ดูดแบบหิวโซ เด็กทารกกลุ่มนี้ จะเป็นทารกที่กินจุ ดูดแบบเร็ว ใช้เวลาไม่นานนมแม่ก็หมดเกลี้ยงเต้า ข้อควรระวัง อย่าให้ทารกดูดเร็วมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้หัวนมแตกและเกิดอาการเจ็บนมได้
    • ดูดเพราะตื่นเต้น เด็กทารกกลุ่มนี้ จะดูดแบบลักษณะงับหัวนมแบบ งับๆ หลุดๆ พอหลุดก็จะโมโหร้องกรี๊ด วิธีแก้ทารกกลุ่มนี้คือการอุ้มเบาๆ พร้อมปรอบลูก 2-3 นาที เมื่อทารกอารมเย็นลงก็ค่อยให้ดูดนมต่อ จะเป็นแบบดังกล่าวประมาณ 2-3 วัน ทารกก็จะกลับมาเรียบร้อยปกติ
    • ดูดแบบไม่เรียกร้อง ทารกกลุ่มนี้ จะรักความสบาย ก็ไม่มีนมมาให้ดูดก็ไม่เรียกร้องที่จะต้องดูด ถ้ามีมาให้ดูดก็ดูด เป็นทารกที่เลี้ยงง่ายไม่กวนใจคนเป็นแม่
    • ดูดบบนักชิม ทารกกลุ่มนี้ อนาคตน่าเป็นนักวิจารณ์อาหารแน่นอน เพราะก่อนกินก็จะเอาลิ้นมาแตะที่หัวนม จะทำแบบนี้สะพัก แล้วค่อยดูดนม แต่หากคุณแม่เผลอไปเร่ง ลูกอาจจะโกรธได้ ต้องรอให้ลูกได้ปรับตัว
    • ดูแบบสายชิว ทารกกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่จะดูดแบบเรื่อยๆ ดูดแปปๆ ปล่อย แล้วกลับมาดูดใหม่ สายชิว ดังนั้นคุณแม่ต้องใจเย็นจนกว่าจะหยุดดูด อย่าได้เร่งลูกเป็นอันขาด ไม่งั้น ลูกได้หรรษาแน่นอนค่ะ
  • นมแม่ ต้องให้นานขนาดไหน

    นมแม่ ต้องให้นานขนาดไหน

    คุณแม่ให้นมลูกได้ตราบเท่าที่ต้องการ และขึ้นอยู่กับลูกด้วย การให้นมแม่ในแต่ละช่วงวัยของลูกในขวบปีแรกก็จะได้รับประโยชน์ที่แตกต่างกัน โดยอาจพิจารณาถึงขอดี ดังนี้

    หลังคลอดวันแรก

    สำหรับลูก

    ลูกจะได้รับโคลอสตรัม เปรียบเสมือน “วัคซีนธรรมชาติ” ของทารกแรกคลอด ถึงแม้จะมีปริมาณน้อย แต่เป็นอาหารที่มีคุณภาพมากย่อยง่ายกว่านมวัว เพราะธรรมชาติสร้างมาให้เลี้ยงงลูกอ่อนโดยเฉพาะ

    สำหรับแม่

    ขณะทารกดูดนมแม่ จะมีฮอร์โมนหลั่งออกมาทำให้มดลูกหดรัดตัว คุณแม่จึงไม่ตกเลือดหรือเสียเลือดมาก

    หลังคลอดผ่านไปแล้ว 4-6 สัปดาห์

    สำหรับลูก

    นมแม่ใสขึ้น แต่มีคุณค่าอาหารไม่ยิ่งหย่อนกว่าโคลอสตรัม หากเด็กได้รับนมแม่ในช่วงนี้จะมีภูมิคุ้มกันโรค แม่ใครที่บ้านป่วย ลูกก็ยังแข็งแรงดี

    สำหรับแม่

    ถ้าได้ให้นมแม่ถึงช่วงนี้ จะพบว่ารูปร่างกลับเข้าที่เข้าทางหุ่นดีเหมือนเดิมแล้วค่ะ

    หลังคลอดไปแล้ว 6 เดือน

    สำหรับลูก

    หากดื่มนมแม่จนถึง 6 เดือน เด็กจะมีระบบภูมิต้านทานโรคอย่างดี จะพบว่าเด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่จะไม่ค่อยแพ้อาหารและจากการศึกษาของประเทศในแถบอเมริกาเหนือ พบว่าเด็กที่ได้รับนมแม่นานถึง 6 เดือน จะมีปริมาณที่เป็นโรคไอกรนหรือหลอดลมอักเสบ น้อยกว่า เด็กที่กินนมแม่ไม่ถึง 6 เดือน

    สำหรับแม่

    ถ้าคุณแม่ท่านใดที่ให้นมลูกมาจนถึง 6 เดือน จะส่งผลถึงรูปร่าง ร่างกายจะกลับมาหุ่นดี ปกติการก่อนมีลูก

    หลังคลอดไปแล้ว 9 เดือน

    สำหรับลูก

    สมองลูกเติบโตเร็ว จะพัฒนาทางสติปัญญาเต็มที่ มีงานวิจัยว่า เด็กที่กินนมแม่จะมีคะแนนไอคิวโดยเฉลี่ยสูงกว่าเด็กแรกเกิดที่กินนมขวดถึง 8 จุด และยังพบว่าเด็กจะมีความมั่นคงทางจิตใจ รู้สึกปลอดภัย ซึ่งเป็นปัจจัยทางอารมณ์ที่สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ ควบคู่กันพัฒนาสติปัญญาด้วย

    สำหรับแม่

    การอุ้มชูลูกด้วยความรัก นอกจากจะสร้างความอบอุ่นใจให้ลูกแล้ว คุณแม่ยังได้รู้จักอารมณ์ของตนเอง ได้รับประโยชน์จากการตอบสนองของลูกที่มีต่อแม่ ให้ความสุขไม่น้อยเลย

    หลังคลอดไปแล้ว 1 ปี

    สำหรับลูก

    สมาคมกุมารแพทย์สหรัฐอเมริกาแนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้ก็ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 1 ปี ทั้งนี้ เพื่อให้เด็กได้รับสารอาหารคุณค่าสูงและมีสุขภาพที่แข็งแรง พบด้วยว่าเมื่อเด็กโตขึ้นจะไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับการพูดไม่ชัด เพราะทักษะในการดูดนมช่วยให้เด็กฝึกกล้ามเนื้อบริเวณรอบๆใบหน้า

    สำหรับแม่

    พบว่ายิ่งแม่ให้ลูกดูดนมนานขึ้น คุณแม่ก็จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต้านนมน้อย

    สรูปได้ว่าการที่ลูกกินแม่ เป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับลูก แต่ถ้านานมากเกินกว่า 1 ปี ก็อาจไม่เป็นผลดีต่อคุณแม่ ทำให้คุณแม่เสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมได้

  • นมแม่ อาหารวิเศษสำหรับลูก

    นมแม่ อาหารวิเศษสำหรับลูก

    อาหารที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทารกแรกเกิด ก็คือ นมแม่ เพราะในนมแม่ จะอุดมด้วยคุณค่าและสารอาหารที่เด็กทารกต้องการครบถ้วน สะอาดบริสุทธิ์ และปราศจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ซึ่งเด็กที่กินนมแม่จะมีโอการติดเชื้อ หรือเจ็บป่วยยากกว่าเด็กที่กินนมจากขวดนม เพราะนมแม่ผ่านออกมาจากอกแม่ถึงลูกโดยตรง ไม่ต้องมาเสี่ยงสารปนเปื้นของขวดนม และยังลดค่าใช้จ่ายในการซื้อนมและอุปกรณ์ให้นม แถมลูกยังได้ประโยชน์ที่ครบถ้วน

    ประโยชน์ของนมแม่

    ในนมแม่สามารถป้องกันระบบทางเดินอาหารและทางเดินหายใจจากเชื้อโรคต่างๆ ได้หลายชนิด และในนมแม่ยังสามารถสร้างเม็ดเลือดขาวที่มีทำหน้าที่ในการฆ่าเชื้อโรคและเสริมช่วยภูมิต้านทานให้กับลูก

    ในนมแม่ที่เรียกได้ว่าสุดยอดของนมแม่คือ “โคลอสตรัม (Colostrum) หรือเรียกอีกอย่างว่าน้ำนมเหลือง เป็นน้ำนมชั้นยอดสำหรับลูกที่จะมีได้หลังคุณแม่คลอดลูก คุณประโยชน์มากมายเช่น ให้พลังงาน ไขมัน โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ครบถ้วน ซึ่งนมผงยี่ห่อไหนก็ตามก็ไม่สามารถเทียบได้

    การให้นมแม่อย่างมีความสุข

    คุณแม่ต้องมีความตั้งใจ อดทนและพยายามให้นมลูก ในช่วงแรกๆ อาจเหน็ดเหนื่อยบ้าง แต่เมื่อได้เหน็ดเหนื่อยบ้าง แต่เมื่อได้เห็นลูกดูดนมอย่างมีความสุข คุณแม่ก็หายเหนื่อย คุณแม่เพียงเอาหัวนมแตะข้างๆ แก้ม ลูกจะหันมาดูเอง หากคุณแม่เริ่มให้นมลูกได้เร็ว ก็จะเป็นผลดีแน่นอน เพราะการให้ลูกดูดนมบ่อย จะกระตุ้นให้ผลิตน้ำนมในมื้อต่อไปมากขึ้น

    ถ้าคุณยิ่งเครียดน้ำนมก็จะยิ่งมีน้อย วิธีที่ดีคือ ก่อนให้นมลูกควรพักผ่อนให้สบาย เอนหลัง อ่านหนังสือ ดื่มน้ำ ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้สบายใจ เช่น ฟังเพลง ถ้าลูกง่วงนอนหรือกระสับกระส่ายหลังดูดนมข้างแรก 2-3 นาที ควรเปลี่ยนเป็นอีกข้างหนึ่ง แต่ควรให้ลูกดูดข้างละ 15 นาที เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมใหม่

    บทความที่เกี่ยวข้องกับนมแม่