Tag: ท้องเสีย

  • โรคของเด็กแรกเกิด 0-1 ปี ที่เป็นบ่อย

    โรคของเด็กแรกเกิด 0-1 ปี ที่เป็นบ่อย

    ในปัจจุบันนี้สภาพสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากมาย ซึ่งก็มาพร้อมกับโรคภัยต่างๆมากมาย ส่งผลทำให้คนบางกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆ โดยเฉพาะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และเด็กทารกแรกเกิด ดังนั้น ในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ที่มีลูกน้อยที่เพิ่งคลอดตลอดจนไปถึง 1 ขวบ ต้องคอยดูแลเอาใจใส่รักษาสุขภาพของตัวเอง และลูก ให้แข็งแรงอยู่เสมอ

    โรคของเด็กแรกเกิด 0-1 ปี ที่เป็นบ่อย

    เด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิด – 1 ขวบ เป็นช่วงวัยที่เด็กต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงที่มีการพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสมองอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแต่ระบบภูมิคุ้มกันโลกที่กำลังพัฒนาให้สมบูรณ์ ดังนั้นในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เด็กมีความเสี่ยงกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ในครั้งนี้ จะมาดูกันว่า มีโรคอะไรบ้างที่เด็กมักเป็นกันบ่อยในช่วงอายุนี้

    ตัวเหลือง

    ตัวเหลืองเป็นหนึ่งอาการที่เด็กในช่วงนี้มักเป็น แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคน มักจะเกิดกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาการตัวเหลืองจะแสดงอาการออกมาในช่วง 3-4 วันหลังคลอด ซึ่งอาการตัวเหลืองสาเหตุเกิดจากมีการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงหลังจากที่มีการคลอดออกมา และมีการทำงานของตับของลูกที่ไม่ดี ร่วมด้วย

    โรคไข้หวัด

    Flu symptoms in toddlers: Signs, treatment, and when to seek help

    โรคไขหวัดเป็นโรคที่เด็กในช่วงอายุนี้มักจะเป็นกัน ซึ่งอาการจะมีลักษณที่เด็กจะมีอุณหภูมิในร่างกายสูงกว่าปกติคือ 37.5 องศาเซลเซียส และหากลูกมีอุณหภูมิสูงถึง 38 องศาเซียลเซียสขึ้น เด็กก็จะเริ่มมีอาการชัก ดังนั้น หากลูกเริ่มมีอาการตัวรุมๆ ควรเริ่มที่ต้องเช็ดตัว เช็ดหน้า ลำคอ แขน ขา โดยเฉพาะข้อพับต่างๆ และขาหนีบของลูก เพราะบริเวณดังกล่าว เป็นบริเวณที่อุณหภูมิจะสูงกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ต้องทำการระบายความร้อน โดยเช็ดในลักษณะย้อนรูขุมขุด ก็จะเป็นการช่วยลดอุณภูมิความร้อนในร่างกายได้ดี และเมื่อเช็ดตัวเสร็จก็ทำการใส่เสื้อผ้าให้ลูกให้เรียบร้อย พร้อมหาผ้าเล็กชุบน้ำอุ่นหมาดๆ มาวางบนหน้าผากของลูก ทั้งนี้ คุณแม่สามารถให้ลูกรับประทานยาลดไข้ได้ แต่ยาควรที่ได้รับคำแนะนำของแพทย์ อย่าได้ซื้อมาเอง

    โรคโคลิก

    Baby colic

    อาการโคลิก เป็นอาการที่เด็กชอบร้องไห้ เกร็ง บิดแขน บิดขา เป็นช่วง ๆ อย่างไรสาเหตุ ส่วนมากเด็กที่เป็นจะมีอายุน้อยกว่า 3 เดือน สาเหตุส่วนใหญ่ทางการแพทย์ อาจเกิดจากลำไส้ถูกกระตุ้น พบได้ในเด็กที่กินนมผสม หรือเด็กที่มีอาการแพ้โปรตีนนม ดังนั้น วิธีช่วยคือให้คุณพ่อหรือคุณแม่ลองอุ้มลูกวนรอบบ้าน และลูบหลังลูกร่วมด้วย หรือไม่ก็ให้ลูกนอนหงาย พร้อมกับจับเข่าของลูกงอจนสูด เพื่อเป็นการไล่ลมออกจากท้องลูก ก็จะช่วยบรรเทาอาการของลูก

    อาการแหวะนม

    baby spitting milk

    การแหวะนมของลูก สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กในทุกๆ คน ไม่ว่าจะเด็กจะกินนมแม่ หรือเด็กที่กินนมผสม ซึ่งอาการดังกล่าวเกิดจากที่เด็กกินนมมากเกินไป หรือเร็วเกินไป ทำให้เกิดลมในท้องลูกจนทำให้ลูกมีอาการสำลักนมหลังกินเสร็จ ทำให้เมื่อลูกมีอาการเรอลมออก หรือลูกมีน้ำลายไหล ก็มักจะมีน้ำนมไหลย้อนจากหลอดลมอาหารกลับออกมาด้วย

    ปากและลิ้น มีฝ้าขาว

    การที่เด็กมีฝ้าขาวที่ลิ้น และปาก ซึ่งเกิดจากเชื้อราในช่องปากที่มาจากการล้างจุกนมไม่สะอาด ดังนั้น วิธีแก้คือ หลังจากการให้ลูกกินนม ให้ลูกกินน้ำอุ่นตาม หรือถ้ายังไม่หาย สำหรับเด็กที่ยังไม่ควรกินน้ำ ก็แนะนำให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดบริเวณช่องปากหลังกินนมเสร็จ

    ผดผื่น

    เด็กในช่วงนี้ ตุ่มเหงื่อของลูกจะยังทำงานไม่สมบูรณ์ ทำให้การขับเหงื่อของลูกทำงานได้ไม่ดี ส่งผลทำให้เกิดผดผื่น ตุ่มแดง น้ำใสๆ หรือเป็นตุ่มหนองเล็กๆ ขึ้นตามตัว และใบหน้า รวมไปถึงอาการคันร่วมด้วย ดังนั้น หากลูกมีอาการคันที่เกิดจากผดผื่นควรทำการทาแป้ง ทายาตามหมอสั่ง หรือทาคาลาไมด์เพื่อลดอาการคัน ไม่ควรเกาเพราะมือของเราอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนซึ่งทำให้ลูกเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

    ท้องเสีย

    Diarrhea in Kids - Reasons, Signs & Home Remedies

    ในหนึ่งวันหากลูกถ่ายเกิน 3 ครั้ง ให้คุณแม่คิดไว้เลยว่าลูกอาจเกิดการท้องเสีย อย่าปล่อยให้ลูกมีอาการขาดน้ำโดยเด็ดขาด เพราะทำให้ลูกเสี่ยงต่อการช๊อคได้ โรคท้องเสียในเด็กอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ติดเชื้อในทางเดินอาหาร มีการปนเปื้อนในน้ำหรืออาหารที่ลูกกิน ลูกมีอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิต้านทานของทางเดินอาหาร หรือลูกมีอาการแพ้โปรตีนในนม หรือลูกติดเชื้อไวรัสโรต้า ที่ติดมาจากมือหรือพื้นผิวทั่วไปและมีการปนในอาหาร

    ท้องอืด

    Getting Relief: How to Respond to Infant Gas Problems

    อาการท้องอืด ก็เป็นอีกโรคที่เด็กเล็กมักเป็น ซึ่งสาเหตุมาจากในท้องของลูกมีลม ทำให้ลูกมีอาการร้องไห้ งอแง มีความอึดอัด พะอืดพะอม ดังนั้น หากลูกมีอาการท้องอืด ให้คุณแม่อุ้มมาแนบอก ให้คางเกยไหล่ และลูบหลังเบาๆ เพื่อไล่ลม หรือนวดบริเวณจุดกึ่งกลางของช่องทางและหมุนตามเข็มนาฬิกา ก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของลำไส้ ได้ดี

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • ลูกท้องอืดบ่อย เกิดจากสาเหตุอะไร

    ลูกท้องอืดบ่อย เกิดจากสาเหตุอะไร

    ท้องอืดในเด็กเป็นเรื่องปกติที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในช่วงปีแรกค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่อันตรายร้ายแรงค่ะ แต่สำหรับหลายๆครอบครัวอาจกังวลใจเกี่ยวกับอาการท้องอืดของลูกน้อยโดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ ซึ่งมักจะมีคำถามมาเสมอว่า ลูกท้องอืดบ่อยๆเกิดจากอะไรคะ และมีวิธีรักษาอย่างไร วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกันค่ะ

    สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องอืดในเด็ก

    อาการท้องอืด แน่นท้อง ไม่สบายตัว เกิดจากมีแก๊สในกระเพาะอาหารซึ่งเกิดจากอากาศที่ถูกกลืนเข้าไปทางปากหรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยแบคทีเรียภายในทางเดินอาหารค่ะ มักมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

    • ไม่เรอหลังจากกินนม
    • การกลืนอากาศมากเกินไป ซึ่งมักเกิดจากท่ากินนมที่ไม่ถูกต้อง การดูดนมเร็วเกินไป การดูดขวดนมเปล่า ช่องว่างที่ทำให้กลืนอากาศเข้าไปด้วยค่ะ
    • ในเด็กที่กินนมผงอาจเกิดจากการผสมหรือการเขย่าขวดที่แรงเกินไปทำให้มีฟองอากาศได้ค่ะ รวมถึงการการดูดจุกหลอก
    • กรณีที่ลูกดูดนมแม่มักมีสาเหตุมาจากาการับประทานอาหารบางชนิดของแม่ เช่น ชากาแฟ โกโก้ อาหารรสจัด กะหล่ำปลี เป็นต้น
    • กรณีที่ลูกรับประทานอาหารเสริมอื่นๆหลากหลายมากขึ้น แบคทีเรียในลำไส้จะผลิตก๊าซส่วนเกินเมื่อย่อยอาหาร รวมถึงการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
    • ร้องไห้มากเกินไป ทำให้สูดอากาศเข้าไปสะสมอยู่ในกระเพาะอาหารและทำให้เกิดก๊าซค่ะ
    • ท้องผูก เมื่อลูกขับถ่ายไม่ปกติทำให้เกิดการสะสมของแก๊สในกระเพาะค่ะ

    อาการท้องอืดในเด็กโดยทั่วมักมีอาการต่างๆคือ ไม่สบายตัว ร้องไห้งอแง เป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกถึงอาการไม่สบายตัวหรือเกิดความผิดปกติขึ้นค่ะ ท้องป่อง หรือท้องแข็งเหมือนมีลมอยู่ในท้อง ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดหลังจากกินนมหรือรับประทานอาหารเข้าไปค่ะ

    เคล็ดลับการบรรเทาอาการท้องอืดในเด็ก

    การรักษาอาการท้องอืดในเด็กแบบธรรมชาติไม่ต้องใช้ยา เคล็ดลับง่ายๆที่คุณสามารถทำให้ลูกของคุณค่ะได้ ดังนี้

    • เรอทุกครั้งหลังกินนม หรือระหว่างการกินนม เพื่อลดการสะสมของก๊าซในทางเดินอาหาร โดยการอุ้มพาดบ่าหรืออุ้มลูกในท่านั่งประคองศีรษะของลูกไว้ค่ะ ค่อยลูบหลังลูกเบาๆจากล่างขึ้นบนหรือตบหลังเบาๆค่ะ อาจมีการสำรอกของเหลวออกมาเล็กน้อยค่ะ
    • การออกกำลังกายง่าย ด้วยการให้ลูกปั่นจักรยานอากาศ  ช่วยให้กระตุ้นลำไส้ให้ลูกขับลมออกมาค่ะ
    • การนวดหน้าท้อง ตามเข็มนาฬิกาเบาๆ รอบๆสะดือจะช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของอาหารและก๊าซผ่านทางเดินอาหารค่ะ
    • การให้ลูกกินนมจากเต้า ควรให้ศีรษะของลูกสูงกว่าท้องไม่ควรแบบแนวราบค่ะ หรือในกรณีที่ดูดจากขวดนมให้เอียงขวดเล็กน้อยเพื่อให้อากาศสามารถลอยขึ้นไปด้านบนค่ะ

    ท้องอืดแบบไหนต้องไปพบหมอ

    อาการท้องอืดที่ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้และต้องไปพบหมอได้แก่ มีไข้ ท้องอืดแน่น ท้องโต กินไม่ได้กินน้อยลง อาเจียน ไม่ผายลม ท้องเสียและท้องผูกอย่างรุนแรง ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดจากโรคอื่นค่ะ เช่น โรคภูมิแพ้อาหาร กรดไหลย้อน การติดเชื้อในทางเดินอาหาร เป็นต้น

    บทความเกี่ยวกับ ลูกท้องอืด

  • โรคลำไส้อักเสบในเด็ก

    โรคลำไส้อักเสบในเด็ก

    โรคลำไส้อักเสบในเด็ก เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กเล็ก เกิดจากการติดเชื้อของลำไส้ที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียถ่ายเหลวเป็นน้ำ หรือมีอาการอาเจียนร่วมด้วย ลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อพบได้จากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย โดยเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของลำไส้อักเสบในเด็กที่พบบ่อยที่สุดคือไวรัสโรต้า ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ง่าย การสัมผัสกับอุจจาระ สารคัดหลั่ง ของเล่น สิ่งของเครื่องใช้ที่มีการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสนำเข้าปาก โดยทั่วไปอาการจะค่อยๆทุเลาขึ้นและหายเองได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือภาวะร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง อาจทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้ค่ะ ดังนั้นบทความนี้จึงรวบรวมข้อมูล อาการ และการดูแลรักษาลูกน้อยมาฝากค่ะ

    สาเหตุโรคลำไส้อักเสบในเด็ก สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ การติดเชื้อไวรัส(โนโรไวรัส โรต้าไวรัส ฯลฯ) เชื้อแบคทีเรีย(ซาลโมเนลลา ชิเกลลา ฯลฯ) หรือปรสิต(คริปโตสปอริเดีย ฯลฯ) โดยรับประทานอาหารหรือน้ำดื่ม การสัมผัสสิ่งของที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค รวมถึงการใกล้ชิดกับผู้ป่วย โรคลำไส้อักเสบสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่พบบ่อยในเด็กวัยอนุบาล เนอเซอรี่ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กๆยังเจริญเติบโตยังไม่เต็มที่ค่ะ

    อาการโรคลำไส้อักเสบในเด็ก

    • โรคลำไส้อักเสบในเด็กจากการติดเชื้อไวรัส อาการหลักๆที่พบคือ อาเจียนนำก่อนจะมีอาการท้องเสียถ่ายเหลวเป็นน้ำ ถ่ายเป็นฟอง ก้นขึ้นผื่นแดงจากการถ่ายบ่อย รู้สึกไม่สบายท้อง และไม่ต้องการกินหรือดื่มนม ในบางรายมีไข้หรือไอร่วมด้วย
    • โรคลำไส้อักเสบในเด็กจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาการหลักๆที่พบคือ อาเจียนนำก่อนจะมีอาการถ่ายปนเลือดไม่สบายท้อง ปัสสาวะน้อย ในบางรายมีไข้หรือซึมร่วมด้วย

    นอกจากนี้ หากพบว่าลูกมีอาการซึม ร้องไห้งอแง อาเจียนติดต่อกันหลายชั่วโมง ถ่ายเหลวหรือถ่ายปนเลือด มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย ตัวซีด ปัสสาวะน้อยมีสีเข้ม ปากแห้ง ไม่ทานอาหารหรือน้ำ ควรรีบพาลูกน้อยพบแพทย์ทันทีค่ะ

    การดูแลรักษาโรคลำไส้อักเสบในเด็ก
    เนื่องจากยังไม่มียารักษาจำเพาะโรค แต่มีวัคซีนเสริมสำหรับป้องกันโรคลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโรต้า ซึ่งสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 2 และ 4 เดือน ดังนั้นการรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการ และร่างการสามารถฟื้นตัวจากอาการต่างๆ และหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรระวังคือ ภาวะร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรงเสียช็อกและเสียชีวิตได้ค่ะ รวมถึงการดูแลรักษาความสะอาด รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ สอนให้ลูกรู้จักรักษาสุขอนามัย โดยรู้วิธีการล้างมือให้สะอาดก่อน-หลังรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง รวมถึงการไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นค่ะ

    ทั้งนี้ การเจ็บป่วยเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่สิ่งที่ทำได้คือการดูแลลูกอย่างใกล้ชิด หากสังเกตพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

  • ไวรัสโรต้า ท้องร่วงรุนแรงในเด็ก

    ไวรัสโรต้า ท้องร่วงรุนแรงในเด็ก

    ไวรัสโรต้า ท้องร่วงรุนแรงในเด็ก
    ภาวะท้องร่วงรุนแรงในเด็ก อันตรายใกล้ตัวที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปทำความรู้จักกับไวรัสโรต้าสาเหตุทำให้เกิดโรคท้องร่วงรุนแรงในเด็ก รวมถึงการป้องกันและการดูแลลูกน้อยมาฝากค่ะ

    ไวรัสโรต้า(ROTAVIRUS) เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียฉับพลันและติดต่อกันได้ง่ายผ่านการนำมือ อาหาร หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าปาก โดยมักพบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เพราะเด็กมักจะหยิบอะไรได้ก็ส่งเข้าปากทันที ทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้อย่างง่ายดาย เชื้อไวรัสโรต้าพบการแพร่ระบาดมากในช่วงฤดูหนาวโดยเฉพาะช่วงเดือน ตุลาคม ถึง กุมพาพันธ์ แฝงตัวอยู่กับสิ่งของรอบตัวไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร หรือของเล่น และแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว เชื้อไวรัสโรต้าทนต่อสภาพแวดล้อมภายนอกร่างกายคนได้นาน ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องระวังเป็นอย่างมากค่ะ

    เชื้อไวรัสโรต้าแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว เนื่องจากเชื้อชนิดนี้ทนต่อสภาพแวดล้อมภายนอกร่างกายคนได้นาน โดยจะเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทานอาหารหรือการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ รวมถึงการนำนิ้วมือที่สัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าปาก นอกจากนี้ เชื้อไวรัสโรต้ายังสามารถปะปนไปกับอุจจาระของผู้ติดเชื้อตั้งแต่ในช่วงก่อนที่จะแสดงอาการป่วย และสามารถอาศัยอยู่ในร่างกายต่อไปได้นานถึง 10 วันหลังหายดีแล้ว บุคคลเหล่านี้จึงกลายเป็นพาหะแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว

    อาการและการรักษาโรคท้องร่วงที่อาจเกิดจากไวรัสโรต้า โดยสังเกตได้ดังนี้
    ไวรัสโรตัาเมื่อได้รับเชื้อไวรัสโรตาเข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะฟักตัว 48 ชั่วโมง จะมีอาการท้องเสียหนักมาก ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำและถ่ายบ่อยกว่าปกติ ปวดท้องอย่างรุนแรง เด็กบางรายจะมีอาการซึม มือเท้าเย็น มีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากอุจจาระบ่อยจนอาจหมดแรงและสูญเสียน้ำในร่างกาย หรืออาเจียนร่วมด้วยไม่สามารถดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้ มีไข้ น้ำมูกและไอเล็กน้อยคล้ายการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ อาการท้องร่วงหากอาการไม่รุนแรงจะหายได้เองใน 3 – 7 วัน แต่สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวัง คือการเสียน้ำในร่างกายซึ่งทำให้เกิดการช็อกได้ค่ะ ควรดื่มเกลือแร่ ทานอาการอ่อนย่อยง่ายค่ะ คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการหากพบภาวะอื่นร่วมด้วยหรือความผิดปกติควรรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

    การป้องกันไวรัสโรต้า

    1.การรักษาสุขอนามัย ซึ่งเป็นการป้องกันที่สำคัญที่สุดค่ะ
    – เด็กอายุ 6 – 12 เดือน คุณพ่อคุณแม่ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดก่อนและหลังการสัมผัส ป้อนอาหารลูกน้อย หมั่นควรทำความสะอาดของใช้เด็กเป็นประจำค่ะ
    – เด็กวัยอนุบาล ควรฝึกวินัยนิสัยสร้างสุขอนามัยที่ดี เช่น การล้างมือก่อนและหลังการหยิบของเข้าปาก เป็นต้น
    2. รับประทานอาหารที่ปรุงสุก สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม
    3. หลีกเลี่ยงการพาลูกไปในที่ชุมชนหนาแน่น หรือที่ที่มีการระบาดของโรค
    4. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามวัคซีนก็ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสโรต้าได้ 100 % เพียงแต่ช่วยให้มีอาการท้องร่วงน้อยลงค่ะ

    นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อลูกป่วย คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดค่ะ หากพบว่าลูกมีอาการผิดปกติ เช่น ลูกไม่สามารถรับประทานอะไรได้ มีอาการซึม หรืออาเจียนบ่อยครั้ง คุณพ่อคุณแม่ต้องรีบพาลูกมาพบคุณหมอทันทีค่ะ เพื่อตรวจยืนยันการวินิจฉัย และให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป

  • ไวรัสลงกระเพาะในเด็ก

    ไวรัสลงกระเพาะในเด็ก

    โรคไวรัสลงกระเพาะ เสี่ยงลูกช็อคเสียชีวิต

    การรักษาไวรัสลงกระเพาะ

    ไวรัสลงกระเพาะยังไม่มีวิธีรักษาแบบเฉพาะเจาะจงค่ะ การรักษาจึงเป็นการประคับประคองตามอาการเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและพลังงานเป็นหลัก บางรายแพทย์อาจรักษาโดยให้น้ำเกลือและการใช้ยาบางชนิดร่วมด้วยค่ะ วิธีการดูแลอาการด้วยตนเองในระหว่างพักฟื้น สามารถทำได้ดังนี้

    • ทารกและเด็กหากมีอาการป่วยไม่รุนแรง ควรรับประทานอาหารตามปกติ ถ้าหากมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง ควรให้ดื่มนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส เช่น นมถั่วเหลืองธรรมชาติ นมอัลมอนด์ และน้ำนมข้าว เป็นต้น
    • ดื่มน้ำมากๆ หรือการจิบน้ำเกลือแร่บ่อยๆในกรณีที่ดื่มน้ำยาก โดยเฉพาะหลังจากอาเจียนหรืออุจจาระเป็นน้ำ เพื่อช่วยเพิ่มพลังงาน ชดเชยเกลือแร่และน้ำในร่างกาย ป้องกันอาการอ่อนเพลียและภาวะขาดน้ำค่ะ
    • รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย เพื่อลดการระคายเคืองและช่วยให้กระเพาะอาหารฟื้นตัว
    • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้ เพราะน้ำผลไม้ไม่สามารถทดแทนเกลือแร่ที่เสียไปได้ค่ะ แต่จะทำให้ท้องเสียมากขึ้นได้ค่ะ
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันกับน้ำตาลสูง อาหารประเภทนม คาเฟอีน และแอลกอฮอล์
    • พักผ่อนมากๆ เพราะผู้ป่วยโรคนี้มักรู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลีย
    • ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยาบรรเทาอาการใดๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นซึ่งไม่ควรใช้ยาแอสไพรินเพราะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ และไม่ควรรับประทานกลุ่มยาปฏิชีวนะเพราะไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัส

    ไวรัสลงกระเพาะจะมีระยะฟักตัวภายหลังจากเข้าสู่ร่างกายจนแสดงอาการอาจใช้เวลาสั้นๆเพียงไม่กี่ชั่วโมงจนถึง 2 วัน เริ่มจากการมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องทุกตำแหน่งของช่องท้อง ท้องเสียชนิดถ่ายเป็นน้ำ แต่ถ้าเป็นแบคทีเรียมักมีมูกเลือดในอุจจาระ อาจมีไข้สูงร่วมด้วย ในกรณีที่มีอาการรุนแรงจะมีภาวะขาดน้ำและพลังงาน (ปากแห้ง ตาโหล กระหม่อมบุ๋ม ชีพจรเต้นเร็วและเบา ความดันโลหิตต่ำ) อ่อนเพลียมาก ซึม กินหรือดื่มไม่ได้จะมีท้องเสียทุกครั้งที่ทานอะไรเข้าไป ท้องเสียหรืออาเจียนไม่หยุด เป็นต้น

    ไวรัสลงกระเพาะ คืออะไร

    ไวรัสลงกระเพาะ หรือหวัดลงกระเพาะและลำไส้ เป็นภาวะการติดเชื้อไวรัสในโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งเกิดจากเชื้อโรคหรือพิษของเชื้อโรคที่พบบ่อยในเด็กเล็ก โดยการสัมผัสกับสิ่งของปนเปื้อนเชื้อไวรัสและนำเข้าปาก หรือการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อโรค เชื้อไวรัสที่ก่อโรคไวรัสลงกระเพาะมีหลากหลายชนิดที่พบบ่อย ได้แก่

    • Norovirus เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในเด็กวัยเรียน และเป็นชนิดที่ก่อให้เกิดการระบาดในโรงเรียน
    • Rotavirus เป็นชนิดพบบ่อยที่สุดในเด็ก โดยเฉพาะในเด็กเล็กและให้เกิดโรครุนแรง
    • Astrovirus มักพบโรคในเด็กอ่อนและเด็กเล็ก แต่อาการไม่รุนแรง
    • Adenovirus เป็นไวรัสที่มีหลากหลายสายพันธุ์ย่อย มักพบในอายุต่ำกว่า 2 ปี และมีความรุนแรงของอาการได้ตั้งแต่อาการน้อยไปจนถึงอาการรุนแรง ก่อให้เกิดโรคได้หลายระบบในร่างกาย เช่น ระบบหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ในระบบทางเดินอาหาร 

    ภาวะแทรกซ้อนของไวรัสลงกระเพาะที่พบบ่อยคือ ภาวะขาดน้ำจากการอาเจียน ท้องเสีย และดื่มน้ำไม่เพียงพอ ในทารกและเด็กเล็กจะมีอาการ ปากและลิ้นแห้ง ร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ไม่ปัสสาวะนานกว่า 3 ชั่วโมง มีไข้สูง เซื่องซึมหรือกระสับกระส่ายผิดปกติ ตาโหล แก้มตอบ หรือกระหม่อมบุ๋ม ทั้งนี้หากเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงอาจทำให้อวัยวะในร่างกายเสียหาย จนผู้ป่วยอาจช็อก หมดสติ และเสียชีวิตได้ ควรรีบพบแพทย์ทันที

    วิธีการดูแล

    เบื้องต้นเมื่อพบว่าลูกป่วย โดยการให้ยาระงับอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้อาเจียน ยาแก้ปวดท้อง ยาขับลม ฯลฯ ตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัช ให้ทานอาหารอ่อนย่อยง่าย ครั้งละน้อยๆ เช่น ข้าวต้มครั้งละ 5-6 คำ แต่ให้บ่อยๆหลีกเลี่ยงของมัน งดผัก ผลไม้ ไข่ นมวัว เปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลือง หรือ lactose free formula เช่น Olac หรือ Similac LF หรือชงนมจางกว่าปกติโดยให้ดื่มครั้งละไม่เกินครึ่งหนึ่งของปริมาณปกติ เพื่อไม่ให้ลำไส้ทำงานหนัก และเมื่ออาการดีขึ้นต้องค่อยๆกลับไปทานอาหารตามปกติ อย่ารีบร้อนเปลี่ยนทันทีเพราะอาจกลับไปท้องเสียใหม่ได้ ให้ลูกจิบน้ำเกลือแร่ ORS เพื่อทดแทนของเหลวที่เสียไป จะได้ไม่มีอาการอ่อนเพลียจากเสียสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย คุณแม่ต้องคอยระวังก้นแดงจากการถ่ายบ่อย ต้องคอยเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที อย่าแช่นาน และควรพาไปล้างก้นที่อ่างด้วยน้ำธรรมดา ไม่ควรใช้สำลีชุบน้ำหรือกระดาษเปียกเช็ดเพราะไม่สะอาดหมดจดและทำให้ผิวหนังถลอกได้ อาจทาวาสลีนหรือปิโตรเลียมเจลเคลือบผิวบริเวณก้น เพื่อช่วยบรรเทาการระคายเคือง ห้ามให้ยาหยุดถ่ายในเด็ก เพราะทำให้เชื้อโรคคั่งในร่างกายจนเป็นอันตราย หรือจะมีอาการปวดมวนท้องมากขึ้น และควรพาลูกพบแพทย์ทันที่เมื่อพบว่าลูกมียังมีอาการอาเจียนอยู่ทั้งที่ทานยาแก้อาเจียนแล้ว หรือไม่อาเจียนแล้ว แต่ก็ทานอะไรไม่ได้เลย ซึมลง อ่อนเพลียมาก มีอาการของการขาดน้ำและปัสสาวะออกน้อย ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือด หรือกลิ่นแรงเหม็นคาว หรือถ่ายรุนแรงมากเป็นน้ำตลอดเวลา ควรนำอุจจาระไปโรงพยาบาลด้วย เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและเพาะเชื้อ

    การป้องกันไวรัสลงกระเพาะ

    • ล้างมือและซอกเล็บด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังการหยิบอาหารเข้าปาก
    • ควรรัประทานทานแต่อาหารที่ปรุงสุกและไม่มีแมลงวันตอม
    • หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ
    • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดหรือสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้เป็นโรคและล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัสโรค
    • ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของโรคนี้ในเด็กเล็ก เป็นวัคซีนชนิดรับประทาน ให้ในเด็กอายุ 2 และ 4 เดือน
    • การให้ลูกดื่มนมแม่ เพราะในนมแม่มีสารต้านไวรัสและแบคทีเรีย รวมถึงลดโอกาสการปนเปื้อนจากภาชนะที่ไม่สะอาด