Tag: การรักษา

  • คออักเสบ(Strep throat) ในเด็ก

    คออักเสบ(Strep throat) ในเด็ก

    ทุกครั้งที่เห็นลูกป่วยคนเป็นพ่อแม่เจ็บทุกครั้ง ถ้าเป็นไปได้ก็ขอป่วยแทนลูก โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ไม่สามารถอธิบายถึงอาการที่เป็นได้ วันนี้แอดมินมีอีกหนึ่งโรคที่พบได้บ่อยให้เด็กโดยเฉพาะเด็กๆวัยอนุบาลและเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายค่ะ นั่นคือ…โรคคออักเสบ(Strep throat) มีสาเหตุมาจากอะไร และมีวิธีการดูแลป้องกันอย่างไรตามแอดมินมาเลยค่ะ…

    คออักเสบ(Strep throat) เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็ก เกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งกลุ่ม A streptococcus เชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการอักเสบทำให้เกิดโรคไอกรน โรคคอตีบ ฯลฯ การติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้สามารถแพร่กระจายไปในอากาศจากการไอจาม การสัมผัสใกล้ชิดและการใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ป่วย รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจาการเจ็บป่วย เช่น ไข้หวัดใหญ่ โรคภูมิแพ้ เป็นต้น โดยเชื้อนี้จะอยู่ได้นานถึงหนึ่งสัปดาห์และต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะร่วมกับการพักผ่อนที่เหมาะสมค่ะ

    อาการคออักเสบ

    (Strep throat) ในเด็กจะแสดงอาการทั่วไปได้แก่ ไข้สูง เจ็บคอ ปัญหาในการกลืน ปวดศีรษะ ต่อมทอนซิลบวมแดง ปวดเมื่อยร่างกาย เป็นต้น หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ค่ะ เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ การติดเชื้อของต่อมน้ำเหลือง ฝีในลำคอ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบโดยเชื้อแพร่กระจายไปยังหูชั้นกลางและหากไม่ถูกรักษาอาจนำไปสู่การหูหนวกได้ค่ะ

    การรักษาคออักเสบ

    (Strep throat) ในเด็ก โดยแพทย์มักจะสั่งยาปฏิชีวนะร่วมกับยาแก้ปวดลดไข้เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและบรรเทาอาการ ควรรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งแม้ว่าอาการของโรคจะหายไป มิฉะนั้นแบคทีเรียจะยังคงอยู่ในลำคอและอาการจะกลับมาค่ะ รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ออกกำลังการเป็นประจำและการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ

    การดูแลลูกของคุณเมื่อคออักเสบได้แก่ การบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น สามารถลดอาการปวดคอและกำจัดแบคทีเรีย ควรให้รับประทานอาหารเหลวทำให้กลืนได้ง่ายขึ้น เช่น ซุป น้ำผลไม้ นม โจ๊ก ฯลฯ การดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ ช่วยลดการระคายเคืองและหล่อลื่นบริเวณที่ติดเชื้อ หรือการผสมน้ำผึ้งลงในน้ำอุ่นให้ลูกดื่ม เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นที่ลำคอและลดอาการปวด เป็นต้น

    การป้องกันและการแพร่กระจายของเชื้อ ได้แก่ หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วย เก็บอุปกรณ์ในการรับประทานแก้วน้ำของลูกแยกจากผู้อื่น ไม่ควรใช้สิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น สอนลูกของคุณให้ครอบคลุมจามหรือไอ ปิดปากทุกครั้งที่ไอหรือจาม ล้างมือด้วยน้ำสบู่ให้สะอาดและบ่อยครั้ง รวมถึงการเปลี่ยนแปรงสีฟัน หลังการติดเชื้อให้เปลี่ยนแปรงสีฟันของเขาเนื่องจากยังมีแบคทีเรียอยู่และทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำได้ค่ะ

    คออักเสบ(Strep throat)เป็นเรื่องปกติในหมู่เด็กก่อนวัยเรียนและเด็กวัยหัดเดิน สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะเท่านั้น สามารถป้องกันได้โดยการฝึกฝนสุขอนามัยที่ดี การแยกเด็กที่ติดเชื้อออกและหลีกเลี่ยงการแบ่งปันสิ่งของส่วนตัวที่เป็นของบุคคลที่ติดเชื้อค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง

  • เล็บติดเชื้อในเด็ก

    เล็บติดเชื้อในเด็ก

    การเจ็บป่วยไม่สบายตัวหรือสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นกับลูก มักเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลใจต่อคนเป็นพ่อแม่ ถึงแม้ว่าในบางครั้งอาจเป็นเพียงเล็กน้อยสามารถหายได้เองก็ตามค่ะ ดังนั้นวันนี้เรามาพูดคุยกันเรื่องของปัญหาเล็บติดเชื้อของเด็กกันค่ะ สาเหตุของการติดเชื้อ ความรุนแรงและมีวิธีอย่างไรในการดูแลรักษาค่ะ

    การติดเชื้อของเล็บมือเกิดขึ้นที่เล็บหรือขอบเล็บ ส่วนใหญ่แล้วการติดเชื้อที่เล็บไม่ร้ายแรงแต่อาจสร้างความเจ็บปวดได้ค่ะ ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากเชื้อรา และอาจเกิดจากแบคทีเรียหรือไวรัส เชื้อโรคเหล่านี้เข้าไปในผิวหนังหรือเล็บผ่านรอยแตกเล็กๆ พบได้บ่อยในเด็กที่มีพฤติกรรมชอบกัดเล็บแคะเล็บ หรือในเด็กที่มีปัญหาเล็บคุด ทำให้แบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายค่ะ เมื่อเกิดการติดเชื้อเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียที่เล็บเท้าหรือการติดเชื้อเล็บมือ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการบวมแดงของบริเวณที่มีการติดเชื้อหรือมีหนองร่วมด้วย และมักสร้างความเจ็บปวดให้กับเด็กๆค่ะ ในบางรายมีอาการอักเสบรุนแรงและติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ หากพบว่าลูกของคุณมีไข้ บริเวณบวมแดงร้อนหรือขยายใหญ่ขึ้นร่วมกับการมีหนอง คุณพ่อคุณแม่ควรพาเด็กๆไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

    การรักษาสำหรับการติดเชื้อเล็บเท้าหรือเล็บมือติดเชื้อขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ ในกรณีที่มีการติดเชื้อไม่รุนแรงไม่มีหยอง โดยการรักษาความสะอาดร่วมกับการใช้ยาทาบริเวณเล็บที่ได้รับผลกระทบ เมื่อมีหนองรอบเล็บอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือประคบร้อนเพื่อระบายหนองออกค่ะ ทั้งนี้หากอาการไม่ดีขึ้นมีการบวมแดงมากขึ้นหรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์ทันทีค่ะ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงค่ะ

    การป้องกันการติดเชื้อเล็บสามารถทำได้ค่ะ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเล็บติดเชื้อและอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงได้ค่ะ โดยเริ่มต้นจากการรักษาความสะอาดเล็บมือเล็บเท้าของเด็กๆเป็นประจำควรล้างทำความสะอาดเล็บมือและเท้าด้วยน้ำสบู่ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการกัดเล็บ การตัดเล็บไม่ควรตัดตรงและไม่ตัดสั้นเกินไปค่ะ เมื่อเล็บงอกอาจทิ่มเข้าไปในเนื้อได้ทำให้เกิดปัญหาเล็บขบลุกลามเป็นแผลติดเชื้อในกระแสเลือดได้ค่ะ

    สุขภาพของลูกๆเป็นสิ่งสำคัญ เรื่องเล็กๆที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรประมาทนะคะ เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงได้ค่ะ การดูแลเอาใจใส่หมั่นสังเกตความผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเด็กเล็กเพราะเขาไม่สามารถอธิบายให้ฟังได้ค่ะ

  • พยาธิเข็มหมุดในเด็ก

    พยาธิเข็มหมุดในเด็ก

    การติดเชื้อพยาธิเข็มหมุดเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่เด็กที่ไปโรงเรียน และสามารถแพร่เชื้อจากเด็กไปสู่เด็กได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ถือว่าเป็นอันตรายและสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาถ่ายพยาธิค่ะ

    พยาธิเข็มหมุด เป็นหนอนตัวเล็กๆมีขนาดตั้งแต่ 2 ถึง 13 มม. สีขาวคล้ายด้ายที่อาศัยอยู่ในลำไส้และจะคลานออกมาจากทวารหนักในเวลากลางคืนเพื่อวางไข่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคันที่ทวาร ไข่พยาธิเข็มหมุดสามารถมีชีวิตอยู่ภายนอกได้นานถึง 2-3 สัปดาห์และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าค่ะ

    สาเหตุของพยาธิเข็มหมุดในเด็กที่พบบ่อยที่สุด เมื่อเด็กสัมผัสกับพยาธิเข็มหมุดหรือไข่ของของพยาธิที่ปนเปื้อนกับสิ่งของเครื่องใช้ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม อาหาร รวมถึงการนำมือที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าปาก โดยเฉพาะเด็กที่มีพฤติกรรมการดูดนิ้วหรือกัดเล็บ การหยิบจับอาหารเข้าปากโดยไม่ล้างมือ ซึ่งไข่พยาธิเข็มหมุดสามารถมีชีวิตอยู่ภายนอกได้นานถึง 2-3 สัปดาห์ และฟักตัวเป็นพยาธิเมื่อเข้าสู่ร่างกาย และจะมีชีวิตอยู่ภายในกระเพาะอาหารได้นาน 5-6 สัปดาห์ก่อนตาย และเมื่อพยาธิตัวเมียโตเต็มที่จะออกมาวางไข่ที่บริเวณรอบรูทวารหนักในเวลากลางคืนค่ะ

    อาการพยาธิเข็มหมุดในเด็ก

    อาการการติเชื้อพยาธิเข็มหมุดในเด็กมักไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆ อย่างไรก็ตามการติดเชื้อพยาธิเข็มหมุดคุณพ่อคุรแม่อาจระวังอาการทั่วไปที่พบในเด็กได้ เช่น มีอาการคันและรู้สึกไม่สบายบริเวณทวารหนักเป็นประจำโดยเฉพาะตอนกลางคืน ผื่นหรือระคายเคืองผิวหนังบริเวณทวารหนัก ซึ่งในเด็กบางคนอาจพบอาการปวดท้องแบบไม่รุนแรงค่ะ หากเด็กเกาบริเวณที่ติดเชื้ออย่างแรง ทำให้เกิดการระคายเคืองอาจนำไปสู่การติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆได้ค่ะ

    การรักษาพยาธิเข็มหมุดในเด็ก

    การรักษาพยาธิเข็มหมุดจะได้รับในรูปแบบของยาที่ใช้สำหรับสำหรับทานเข้าไป รวมกับการดูแบเอาใจใส่เรื่องความสะอาดและสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การล้างมือด้วยน้ำสบู่ก่อนและหลังการรับประทานอาหารหรือหลังจากเข้าห้องน้ำทุกครั้ง ตัดเล็บให้สั้นเพื่อป้องกันการสะสมของไข่พยาธิปละเชื้อแบคทีเรียต่างๆ เป็นต้น

    การป้องกันพยาธิเข็มหมุดในเด็ก

    กุญแจสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อพยาธิเข็มหมุดนั้น ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติด้านสุขอนามัยที่ดี ได้แก่

    • อาบน้ำลูกทุกเช้าเพื่อล้างไข่ที่ตกค้างบนผิวหนัง
    • ตัดเล็บให้สั้นและรักษาความสะอาดของเล็บอยู่เสมอ เพื่อลดการสะสมของไข่พยาธิที่ติดอยู่บนเล็บ
    • เปลี่ยนชุดชั้นในเด็กทุกวัน ไม่ควรใส่ซ้ำ ลดการแพร่กระจากของเชื้อ
    • สอนให้ลูกของคุณฝึกฝนการล้างมือเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
    • เปิดหน้าต่างเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาภายในห้อง เนื่องจากไข่ของพยาธิเข็มหมุดไวต่อแสงไม่สามารถทนต่อแสงแดดได้
    • ซักทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช่ด้วยน้ำอุ่น เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม เสื้อผ้า เป็นต้น

  • ไข้มาลาเรียในเด็ก

    ไข้มาลาเรียในเด็ก

    โรคไข้มาลาเรีย โรคร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและผู้ใหญ่ พบว่าเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆของเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มาลาเรียมียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค การติดเชื้อนี้ทำให้เกิดไข้หนาวสั่นและมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ในเด็กเล็ก โรคมาลาเรียสามารถรักษาได้ค่ะ แต่จะต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว เพราะถ้าหากติดเชื้อรุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและอาจทำให้เสียชีวิตได้ค่ะ

    มาลาเรีย (Malaria) เป็นโรคมที่มียุงก้นปล่องเพศเมียเป็นพาหะ แพร่กระจายในเด็กเล็กและผู้ใหญ่ผ่านการกัดของยุงตัวเมียที่ติดเชื้อปรสิตที่เกิดจากเชื้อ พลาสโมเดียม (Plasmodium) ซึ่งทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและส่งผลกระทบต่อเด็กรุนแรง เชื้อพลาสโมเดียมที่ทำให้เกิดโรคในคนมี 5 ชนิด ได้แก่

    • พลาสโมเดียมฟัลซิพารัม (P. falciparum) เป็นเชื้อที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศไทย
    • พลาสโมเดียมไวแว็กซ์ (P. vivax) เป็นเชื้อที่พบในเอเชียและละตินอเมริกา
    • พลาสโมเดียมโอวาเล่ (P.ovale) พบในหมู่เกาะแปซิฟิกและแอฟริกาตะวันตก
    • พลาสโมเดียมมาลาเรีย (P. malariae) เชื้อชนิดนี้ค่อนข้างหายากและเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง
    • พลาสโมเดียมโนว์ไซ Z(P. Knowlesi)X พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การติดเชื้อชนิดนี้ส่งผลกระทบรุนแรงและรวดเร็ว

    นอกเหนือจากการถูกยุงกัด สาเหตุอื่นของมาลาเรียยังรวมถึงการถ่ายเลือดหรือการใช้เข็มร่วมกัน และคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อมาลาเรียอาจแพร่เชื้อไปสู่ลูกในครรภ์ก่อนหรือระหว่างการคลอด เรียกว่า มาลาเรียที่มีมาแต่กำเนิด มาลาเรียมีระยะฟักตัวระหว่าง 10 วันถึง 4 สัปดาห์หลังจากการติดเชื้อค่ะ

    อาการของโรคมาลาเรียในเด็ก

    ทารกที่ได้รับผลกระทบจากมาลาเรีย อาจมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เช่น ไม่ไข้ ไอ เบื่ออาหาร ง่วงนอน หงุดหงิด กระสับกระส่าย ในบางรายมีอาการคลื่นไส้และท้องร่วง เป็นต้น ซึ่งอาการทั่วไปของโรคมาลาเรียในเด็กที่พบ ได้แก่

    • ไข้สูง หนาวสั่น ซึ่งการที่ร่างการมีอุณหภูมิสูงไม่จำเป็นต้องเป็นไข้ธรรมดา มันอาจบ่งบอกว่ามีการติดเชื้อหรือโรคร้ายแรงได้เช่นกันค่ะ
    • เบื่ออาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นวิธีที่ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อและความรุนแรง
    • ปวดศีรษะเป็นเรื่องธรรมดาในเด็กทีมีไข้ร่วมด้วย
    • กระสับกระส่าย มาลาเรียสามารถทำให้เกิดอาการต่างๆในเด็ก ในบางคนมันทำให้เกิดอาการง่วงนอน และในขณะที่บางคนก็นอนไม่หลับค่ะ

    ภาวะแทรกซ้อนของโรคมาลาเรีย

    การติดเชื้อมาเลเรียอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ดังนี้

    • การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อสมอง อาจทำให้เกิดการบวมในสมองหรือนำไปสู่ความเสียหายของสมองอย่างถาวรหรืออาการโคม่าได้ค่ะ
    • อาการชัก หรือมาลาเรียในสมองเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในกรณีของการติดเชื้อ P. falciparum อย่างรุนแรง อาการของการติดเชื้อที่ซับซ้อนนี้รวมถึงอาการชักที่คาดเดาไม่ได้
    • ไตเสื่อม ในบางกรณีไข้มาลาเรียจะนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ P. falciparum บางครั้งแม้แต่ P. vivax และ P. malariae ก็มีส่วนทำให้การทำงานของไตในผู้ป่วยมาลาเรียเสื่อมถอยได้ค่ะ
    • โรคโลหิตจาง เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำออกซิเจนมาสู่อวัยวะในร่างกายได้อย่างเพียงพอ ทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงนอนตลอดทั้งวัน และมาลาเรียสามารถนำไปสู่โรคโลหิตจางรุนแรงได้ค่ะ
    • ปอดบวม หรืออาการบวมน้ำที่ปอด ในบางครั้งไข้มาลาเรียทำให้เกิดการกักเก็บของเหลวในปอดและอาจทำให้หายใจลำบากได้ค่ะ
    • ม้ามโตเป็นอาการที่พบบ่อยในมาลาเรีย
    • อวัยวะล้มเหลว ซึ่งรวมถึงไตตับสมองหรือปอดล้มเหลวและอาจถึงแก่ชีวิตได้ค่ะ

    การฟื้นตัวจากโรคมาลาเรียขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ชนิดของมาลาเรีย ความรวดเร็วของการรักษาและภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย นอกจากนี้ชนิดของมาลาเรียจะกำหนดความรุนแรงและการติดเชื้อค่ะ

  • โรคภูมิแพ้

    โรคภูมิแพ้

    โรคภูมิแพ้พบได้บ่อยในเด็กเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ การแพ้เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น ไรฝุ่น เกสร ขนสัตว์เลี้ยง พิษจากแมลง รวมถึงสารก่อภูมิแพ้ในอาหาร อาการแพ้ทำให้เกิดอาการไม่รุนแรงจนถึงอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ค่ะ บทความนี้เรารวบรวนข้อมูลเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้มาฝากคุณพ่อคุณแม่ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือดูแลและป้องกันโรคภูมิแพ้ที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อยของคุณ

    โรคภูมิแพ้เป็นโรคยอดนิยมที่พบในเด็ก เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมในปัจจุบันการเจือปนของสาร ฝุ่น ควันต่างๆในอากาศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมือง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานเพิ่มขึ้น รวมถึงการเจริญเติบโตระบบต่างๆของร่างกายเด็กยังไม่สมบูรณ์เท่าในผู้ให้ ทำให้เพิ่มโอกาสในการเจ็บป่วยในง่ายขึ้นค่ะ อาการแพ้ต่อสารที่พบมาก ได้แก่ ภูมิแพ้อากาศ ภูมิแพ้อาหาร ภูมิแพ้แมลงสัตว์กัดต่อย ภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นต้น ซึ่งสาเหตุของการแพ้และแสดงอาการแพ้ที่แตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปจะเกิดการแพ้หลังจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ดังนี้

    ภูมิแพ้อาหาร เป็นโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก เช่น แพ้นมวัว แพ้ถั่วลิสง เป็นต้น ซึ่งอันตรายใกล้ตัวที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังเป็นพิเศษค่ะ ในบางรายมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต อาการแพ้อาหารจะแสดงอาการต่างๆในหลายระบบของร่างกาย ได้แก่ อาการแพ้ที่แสดงต่อผิวหนัง มีอาการคัน ผื่นขึ้นทั้งตัวหรือเป็นบางส่วนของร่างกาย อาการแพ้ที่แสดงต่อระบบทางเดินอาหาร ซึ่งพบได้ตั้งแต่ อาเจียนบ่อย ท้องผูก ท้องอืด ท้องเสียหรือถ่ายเป็นมูกเลือด ฯลฯ และอาการแพ้ที่แสดงต่อระบบทางเดินหายใจ มีอาการตั้งแต่คัดจมูก คันตา น้ำมูกไหล ไอ จนกระทั่งเป็นปอดอักเสบ การอุดกั้นทางเดินหายใจ และสามารถเกิดพร้อมกันได้ทุกระบบค่ะ

    ภูมิแพ้อากาศ หรือโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เกิดจากภูมิแพ้เยื่อบุภายในโพรงจมูก เป็นอากาศที่เกิดขึ้นระบบทางเดินหายใจ หรือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างรวดเร็วส่งผลต่อโพรงจมูกในการหายใจ การอักเสบของเยื่อบุจมูกโดยการหายใจเอาสารก่อภูมิแพ้เข้าไป และสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี ทำให้เกิดอาการแพ้คือ อาการคันรอบดวงตา บวมทั่วใบหน้า จมูก หรือลำคอ คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ อาจมีไข้ร่วมด้วยค่ะ 

    ภูมิแพ้ผิวหนัง หรือภูมิแพ้แมลงสัตว์กัดต่อย เกิดจากการอักเสบของผิวหนังบริเวณที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้หรือพิษของสัตว์ที่ได้รับ ก่อให้เกิดอาการคัน ผื่นบวมแดงหรือตุ่มอักเสบขึ้น หากเกาจะทำให้เป็นแผลลุกลามเป็นวงกว้างได้ค่ะ

    การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้นั้น เริ่มต้นจากประวัติเบื้องต้นของผู้ป่วย ครอบครัว สิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย เนื่องจากโรคภูมิแพ้โดยส่วนใหญ่พบในครอบครัวที่มีประวัติการป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ เพื่อประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคภูมิแพ้ และการวินิจฉัยด้วยชุดทดสอบภูมิแพ้ เพื่อทดสอบอาการแพ้ทางผิวหนังโดยหยดสารก่อภูมิแพ้ลงบนผิวหนัง หากผู้ป่วยแพ้ต่อสารใดบริเวณที่ถูกสารนั้นจะมีตุ่มนูนแดงปรากฏขึ้นมาภายในเวลาประมาณ 20 นาที แสดงว่าลูกน้อยแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้นๆ และการวินิจฉัยยังสามารถทำได้ด้วยการตรวจเลือด เพื่อทำการตรวจหาแอนติบอดีที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ค่ะ

    การรักษาโรคภูมิแพ้นั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปฏิกิริยาการแพ้ที่เกิดขึ้น ในกรณีที่ลูกมีอาการแพ้เกิดขึ้นควรรีบพบแพทย์ค่ะ เพื่อประเมินอาการเบื้องต้นซึ่งหากอาการไม่รุนแรงแพทย์จะทำการรักษาด้วยการทานยาแก้แพ้ ยาทานแก้ผื่นคัน ฯลฯ  หากมีอาการแพ้แบบเฉียบพลันรุนแรงต้องได้รับยาขยายหลอดลม เพื่อป้องกันภาวะการอุดกั้นทางเดินหายใจ เป็นต้น

  • ทำอย่างไร เมื่อลูกเล็บขบ

    ทำอย่างไร เมื่อลูกเล็บขบ

    เล็บเท้าคุดในเด็กเป็นปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่งที่ดูแล้วอาจจะแปลกประหลาดสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่อาจต้องเผชิญค่ะ ปัญหาเล็บคุดสร้างความเจ็บปวดให้แก่ลูกของคุณ และอาจนำไปสู่การติดเชื้อต่างๆได้ค่ะ ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามค่ะ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจรวมถึงการดูแลรักษาปัญหาเล็บคุดกันค่ะ

    เล็บเท้าคุดเกิดขึ้นเมื่อเล็บเท้าโตผิดปกติเมื่อมุมหรือขอบของเล็บเท้า เริ่มโค้งเข้าด้านในของผิวเท้าของนิ้วเท้า ทำให้รู้สึกเจ็บปวดและอาจเกิดการติดเชื้อได้เนื่องจากแบคทีเรียมักจะอาศัยอยู่รอบๆเท้าค่ะ และปัจจัยเสี่ยงของเล็บเท้าคุดในเด็กมีสาเหตุหลายประการดังนี้

    • การตัดเล็บไม่เหมาะสม สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของเล็บเท้าคุดค่ะ การตัดเล็บให้สั้นเกินไปหรือตัดในรูปแบบที่โค้งมนมากทำให้ผิวรอบข้างอาจปิดที่ปลายเล็บ เล็บที่งอกมาอาจกลับมาอยู่ที่ผิวหนังได้ค่ะ
    • รองเท้าคับแน่น เป็นอีกสาเหตุที่เป็นไปได้ของเล็บเท้าคุด หากเท้าของเด็กโตเร็วและเขาสวมรองเท้าที่เล็กแน่นเกินไป ซึ่งสามารถดันผิวนิ้วเท้าที่บริเวณมุมของเล็บค่ะ
    • การงอกของเล็บที่ผิดปกติ บางครั้งความผิดปกติของเท้าหรือนิ้วเท้าอาจทำให้เกิดแรงกดบนเล็บได้ บางคนเกิดมาพร้อมกับเล็บเท้าที่ใหญ่เกินไป เล็บโค้งต่ำเกินไปค่ะ
    • พันธุกรรม หากลูกของคุณคุดเล็บเท้าโดยไม่มีเหตุผลใดๆก็อาจเป็นเพราะกรรมพันธุ์ บางคนเกิดมาพร้อมกับเล็บที่โค้งงอแปลกๆ ซึ่งทำให้พวกเขามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการพัฒนาความเจ็บป่วยนี้บ่อยครั้ง

    อาการที่เกิดจากคุดเล็บเท้าในเด็ก

    อาการเจ็บปวดอาจเป็นอาการเดียวของเล็บเท้าคุดที่เกิดขึ้น โดยอาการเริ่มแรกที่แสดงคือ อาการบวมบริเวณที่ได้รับผลกระทบของเล็บคุด บริเวณที่เจ็บปวดรอบๆเล็บที่มีลักษณะอักเสบ ก่อให้เกิดหนองมีกลิ่นเหม็น ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาเล็บเท้าคุดอาจทำให้ติดเชื้อในผิวหนังได้และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นได้ค่ะ

    การดูแลแก้ไขปัญหาเล็บคุดสำหรับเด็ก

    ส่วนใหญ่ปัญหาเล็บเท้าคุดในเด็กสามารถดูแลได้ที่บ้านค่ะ หากเล็บเท้าของเด็กไม่มีการติดเชื้อให้ทำตามคำแนะนำดังนี้ แช่เท้าที่มีปัญหาเล็บคุดในน้ำเกลืออุ่นๆประมาณ 20 – 30 นาที วันละ 2 – 3 ครั้ง เพื่อให้ผิวและเล็บอ่อนนุ่ม ลดอาการบวมและปวด นวดส่วนที่มีการอักเสบเบาๆเพื่อให้หนังกำพร้าหลุดออกจากเล็บ คุณพ่อคุณแม่สามารถนำสำลีแช่ในมันมะกอกเพื่อผลักผิวออกห่างจากเล็บคุด จากนั้นค่อยๆตัดเล็บบริเวณที่เกิดเล็บคุด และใช้ครีมยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อค่ะ

    เคล็ดลับในการป้องกันเล็บเท้าคุดในเด็ก ซึ่งมีเคล็ดลับง่ายๆในการป้องกันดังนี้

    • ตรวจสอบเล็บเท้าเด็ก เช่น หลังอาบน้ำเพื่อเห็นสัญญาณของเล็บเท้าคุดที่อาจเกิดขึ้นค่ะ
    • การตัดเล็บไม่ควรตัดตรงและไม่ตัดสั้นเกินไป
    • รองเท้าควรเหมาะสมสำหรับเท้าของเด็ก ไม่เล็กแน่นเกินไปค่ะ
    • ถ้าลูกของคุณเล่นกีฬาควรซื้อรองเท้าที่จะป้องกันการบาดเจ็บ
    • การดูแลรักษาสุขภาพเท้าที่ดี สุขอนามัยเท้าที่เหมาะสมควรล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำเป็นประจำ

    ปัญหาเล็บเท้าคุดอาจดูเหมือนแปลกแต่ก็เป็นปัญหาที่สร้างความเจ็บปวดและสร้างความรำคาญ แม้แต่การสาวมใส่รองเท้าก็เป็นเรื่องยากค่ะ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเล็บคุดค่ะ

  • ปัญหาผื่นผ้าอ้อมในเด็ก

    ปัญหาผื่นผ้าอ้อมในเด็ก

    ผื่นผ้าอ้อมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดสำหรับคุณแม่ทุกคน อาจมีสาเหตุหลายประการที่ผื่นผ้าอ้อมเกิดขึ้นรวมถึงความรุนแรงของผื่นบนผิวของลูกน้อยความเจ็บปวดเมื่อเกิดขึ้นกับลูกน้อยสิ่งที่พ่อแม่ไม่ต้องการเห็นลูกร้องไห้เนื่องจากความเจ็บปวด ในบทความนี้เราจะพูดถึงสาเหตุที่สำคัญของผื่นผ้าอ้อมและข้อควรระวังรวมถึงการดูแลลูกน้อยค่ะ

    ผื่นผ้าอ้อมอาจปรากฏขึ้นเมื่อลูกน้อยของคุณเริ่มใส่ผ้าอ้อมส่งผลกระทบต่อผิวใต้ผ้าอ้อม ผื่นผ้าอ้อมเด็กหรือโรคผิวหนังจากผ้าอ้อมเป็นอาการทางผิวหนังที่พบบ่อย ซึ่งโดยทั่วไปจะมีผลต่อทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ โดยมีสาเหตุหลักมากจากการสวมผ้าอ้อมเปียกหรือสกปรกนานเกินไป ความชื้นผสมกับแบคทีเรียที่มีอยู่ในอุจจาระของลูกน้อย การสวมใส่ผ้าอ้อมแน่นๆ และแรงเสียดทานสามารถทำให้ระคายเคืองผิวของเด็กได้ เนื่องจากผิวเด็กมีความบอบบางมากไวต่อสารเคมี เช่น น้ำหอมของผ้าอ้อมสำเร็จรูปบางชนิด ผงซักฟอก สารเคมีในผ้าเช็ดทำความสะอาด แป้งเด็กและผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาจเป็นสาเหตุของผื่นได้เช่นกันค่ะ

    ผื่นผ้าอ้อมอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการค่ะ แม้ว่าจะเป็นปัญหาชั่วคราวแต่ผิวหนังที่ระคายเคืองอาจทำให้ลูกน้อยรู้สึกไม่สบายตัว ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงปัญหาผื่นผ้าอ้อมและการป้องกันแก้ไขจะช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกสบายตัวมากขึ้นค่ะ โดยจะแสดงสัญญาณบางอย่างที่ควรระวังในเด็กที่ใส่ผ้าอ้อม ได้แก่ รอยสีชมพูหรือสีแดง อุณภูมิของผิวหนังบริเวณนั้นร้อนขึ้น การลอกของผิวหนังหรือผิวแห้งกร้านบริเวณที่ใส่ผ้าอ้อม อาจเป็นสัญญาณของผื่นผ้าอ้อมได้ค่ะ ลูกน้อยร้องไห้ในขณะที่คุณทำความสะอาดบริเวณผ้าอ้อม หรือบริเวณก้นของทารกอาจมีเลือดออกหากมีผื่นผ้าอ้อมอย่างรุนแรง

    การรักษาผื่นผ้าอ้อม

    ขั้นตอนที่ใช้ในการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของผื่นที่เกิดขึ้น หากมีผื่นที่ไม่รุนแรงคุณจะสามารถรักษาผื่นด้วยตัวเองโดยทำให้บริเวณนั้นสะอาดและแห้ง ใช้การซับแทนการถูไปมาเพราะการถูอาจทำให้เกิดการระคายเคืองมากขึ้นค่ะ ในกรณีที่รุนแรงแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ครีมผื่นผ้าอ้อม หรือขี้ผึ้งสำหรับผื่นผ้าอ้อมมีอยู่ในร้านขายยาทั่วไปค่ะ

    การป้องกันผื่นผ้าอ้อม

    • ควรเปลี่ยนผ้าอ้อมของลูกน้อยทุก 4 ชั่วโมงหรือทันทีที่มันหนักหรือสกปรกจากการถ่ายอุจจาระ
    • รักษาความสะอาด หลังจากปัสสาวะหรืออุจจาระ หรือการเปลี่ยนผ้าอ้อมทุกครั้งให้ทำความสะอาดซับผิวให้แห้ง
    • หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดแบบใช้แล้วทิ้ง เพราะมันอาจทำให้ผิวระคายเคืองค่ะ
    • หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไม่จำเป็น เพราะการใส่ผ้าอ้อมตลอดเวลาโดยเฉพาะให้ช่วงอาการร้อน ทำให้เหงื่อออกมากส่งผลให้เกิกการอับชื้นและเสียดสีกับผ้าของลูกน้อยได้
    • เลือกผ้าอ้อมที่เหมาะสม ไม่คับแน่นหรือรัดจนเกินไปค่ะ
    • กรณีที่ใช้ผ้าอ้อมแบบซักแล้วกลับมาใช้ใหม่ได้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดโอนโยนต่อผิวลูกน้อยค่ะ

    ผื่นผ้าอ้อมเป็นเรื่องปกติในหมู่เด็กทารกและเป็นหนึ่งในความท้าทายที่พบบ่อยที่สุดของการเลี้ยงดูลูกน้อย การรักษาสุขอนามัยการเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยๆหรือการหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอ้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอเพื่อป้องกันผื่นเหล่านี้ได้ค่ะ

  • หูอักเสบเรื้อรังในเด็ก

    หูอักเสบเรื้อรังในเด็ก

    หูอักเสบปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในเด็ก เนื่องจากโรคนี้มักเกิดร่วมกับโรคหวัดหรือโรคเด็กที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ดังนั้นการติดเชื้อที่หูจึงเป็นเรื่องธรรมดาในเด็กค่ะ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้ามเพราะอาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ปัญหาการได้ยินของเด็กค่ะ บทความก่อนหน้านี้เราได้พูดเกี่ยวกับโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันไปบ้างแล้ว วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจโรคหูอักเสบเรื้อรังในเด็กกันบ้างค่ะ สาเหตุ อาการและการดูแลรักษาอย่างไร

    หูอักเสบเรื้อรังสามารถทำให้เกิดอาการที่รุนแรงและส่งผลกระทบมากกว่าการติดเชื้อที่หูแบบเฉียบพลัน เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อที่หูชั้นกลางเฉียบพลัน การติดเชื้อของจมูกและลำคอ เช่น โรคหวัด น้ำเข้าหูชั้นกลางขณะอาบน้ำหรือว่ายน้ำ ฯลฯ ส่งผลให้เกิดการอักเสบการสะสมของของเหลวและเมือกหลังแก้วหู ซึ่งไม่ระบายอย่างเหมาะสมผ่านท่อยู่สเตเชียนของหู ทำให้เกิดหนองไหลออกจากหูค่ะ หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆตามมาได้ค่ะ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หูชั้นในอักเสบ ฝีในสมอง เป็นต้น อาการโรคหูอักเสบเรื้อรังที่พบในเด็กระยะแรกจะมีอาการเหมือนกับโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันได้แก่ มีไข้สูง ปวดหู ในเด็กเล็กจะร้องไห้กระวนกระวาย พร้อมดึงหูหรือกุมหูตัวเองบ่อยๆ และในระยะต่อมาจะมีอาการปวดหูมากขึ้น ความดันในหู หูอื้อ จนเมื่อแก้วหูทะลุ อาการปวดหูและไข้จะเริ่มดีขึ้นแต่จะมีน้ำหนองไหลออกมาและมีกลิ่นเหม็นค่ะ

    การรักษาหูอักเสบเรื้อรังในเด็ก

    การรักษาโดยทั่วไปแพทย์จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียรักษาอาการอักเสบ ร่วมกันการรักษาโรคหวัดในกรณีที่มีสาเหตุมาจากโรคหวัดค่ะ หรือในกรณีที่รุนแรงของการติดเชื้อที่หูเรื้อรังอาจมีการผ่าตัดโพรงกระดูกมาสตอยด์หรือการเจาะเยื่อแก้วหู เพื่อระบายของเหลวในหูออกมาร่วมกับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะค่ะ

    ดังนั้นการดูแลป้องกันการเกิดโรคหูอักเสบเรื้อรังในเด็ก เริ่มต้นด้วยการดูแลสุขภาพของลูกน้อย เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำสะอาดมากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และการออกกำลังกายสม่ำเสมอค่ะ ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากในน้ำนมแม่อุดมไปด้วยสารอาการมากมายหลากหลายที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต กระตุ้นระบบภูมคุ้มกันของลูกคุณค่ะ  และเมื่อพบว่าลูกมีอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคหูชั้นอักเสบ หรือเป็นหวัดนานเกินหนึ่งสัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์ค่ะ เพื่อทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไป ป้องการการหูอักเสบเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆค่ะ

  • โรคงูสวัดในเด็ก

    โรคงูสวัดในเด็ก

    โรคงูสวัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กแต่มักไม่มีอาการรุนแรงเทากับโรคงูสวัดในผู้ใหญ่ค่ะ โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกันที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสซึ่งติดต่อได้ง่ายค่ะ และเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ รวมถึงจะมีวิธีการดูแลรักษาโรคงูสวัดอย่างไร เรามาทำความรู้จักกับโรคงูสวัดในเด็กกันค่ะ

    โรคงูสวัดเป็นผื่นผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลล่า (Varivella zoster) ของเส้นประสาทใต้ผิวหนังและเป็นไวรัสชนิดเดียวกันที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส เชื้อไวรัสทำให้เกิดผื่นพุพองบนผิวหนังสามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย โรคงูสวัดในเด็กมักจะไม่รุนแรงสามารถรักษาให้หายได้ค่ะ และปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคงูสวัดคือ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและผู้ที่ฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยมีแนวโน้มที่จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคงูสวัดได้ง่าย เด็กที่เคยป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสก่อนอายุ 1 ปี รวมถึงขณะคุณแม่ตั้งครรภ์ป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสค่ะ

    อาการของโรคงูสวัดในเด็กนั้นมีอาการเหมือนกับโรคงูสวัดในผู้ใหญ่ค่ะ แต่มักมีอาการรุนแรงน้อยกว่าซึ่งอาการของโรคงูสวัดในแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกันไปตามสุขภาพค่ะ และอาการเริ่มต้นของโรคงูสวัดด้วยความเจ็บปวด เสียวคันในบริเวณที่ผื่นกำลังจะขึ้น จากนั้นประมาณ 5 วันจะเริ่มมีตุ่มผื่นขึ้นจนกลายเป็นตุ่มพุพองตามแนวเส้นประสาทของผิวหนัง หลังจากนี้ 1 – 2 สัปดาห์ตุ่มหนองพุพองจะแตกออกและตกสะเก็ดค่ะ ในเด็กบางรายอาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลียหรือปวดที่ตุ่มพุพองร่วมด้วยค่ะ

    โรคแทรกซ้อนของโรคงูสวัดโดยทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นในเด็ก ได้แก่ การติดเชื้อที่ผิวหนังหากไม่รักษาความสะอาดของตุ่มแผล ปัญหาระบบประสาทและการสูญเสียการมองเห็นหรือสูญเสียการได้ยิน โรคงูสวัดที่อยู่บนใบหน้าหรือบริเวณรอบดวงตาสามารถนำไปสู่ความเสียหายอย่างรุนแรงได้ เนื่องจากเส้นประสาทตาและลูกตาอาจได้รับความเสียหายค่ะ และโรคงูสวัดอาจนำไปสู่โรคไข้สมองอักเสบได้ค่ะ

    การรักษาโรคงูสวัดในเด็ก

    การรักษาโรคงูสวัดในเด็กจะขึ้นอยู่กับอาการและสุขภาพโดยทั่วไปของเด็ก ซึ่งแพทย์ทำการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเพื่อลดความรุนแรงและป้องกันอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมกับการทานยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดค่ะ

    การดูแลและควรหลีกเลี่ยงเมื่อเด็กป่วยโรคงูสวัด เพื่อบรรเทาอาการและป้องกันการแพร่เชื้อได้ดังนี้

    • การประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวดแสบและการอักเสบจากผื่นพุพอง
    • การดูแลรักษาความสะอาดผิวหนังบริเวณที่เกิดตุ่มพุพอง เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ผิวหนัง โดยการล้างแผลด้วยน้ำสบู่อ่อนๆและซับแผลให้แห้ง
    • เมื่อตุ่มพุพองแห้งควรใช้ผ้าพันแผลปิดตุ่มผื่นพุพองให้มิดชิด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่ผู้อื่น
    • เด็กที่ป่วยเป็นโรคงูสวัดควรให้เด็กหยุดเรียนจนกว่าแผลจะตกสะเก็ดและแห้งสนิทดี เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่ผู้อื่น
    • ไม่ควรสัมผัสบริเวณแผลที่เกิดขึ้น อาจทำให้เกิดการอักเสบและเกิดการติดเชื้อที่รุนแรงได้
    • ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

    โรคงูสวัดเป็นโรคติดเชื้อที่สร้างความเจ็บปวดมากให้กับลูกของคุณ ดังนั้นหากลูกของคุณมีอาการดังกล่าวหรือสงสัยของลูกอาจเป็นโรคงูสวัด ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

  • ไข้ไทฟอยด์ในเด็ก

    ไข้ไทฟอยด์ในเด็ก

    ไข้ไทฟอยด์เป็นโรคที่ร้ายแรงและบางครั้งอาจถึงแก่ชีวิตได้ค่ะ ไข้ไทฟอยด์เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi (S. Typhi) เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งในตระกูล Salmonella ซึ่งเป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษ แบคทีเรียเหล่านี้อาศัยอยู่ในร่างกายและถูกขับออกทางปัสสาวะหรืออุจจาระ ไข้ไทฟอยด์พบได้ทั่วไปโดยเฉพาะกับเด็ก และเป็นโรคที่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ค่ะ โดยจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียในน้ำ อาหารที่รับประทานเข้าไป หรือจากการสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อนี้

    สาเหตุของไทฟอยด์ในเด็ก

    ไทฟอยด์เป็นโรคติดเชื้ออย่างรุนแรงซึ่งแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi โดยสามารถรับเชื้อแบคทีเรียผ่านการบริโภคอาหารและน้ำที่ไม่ถูกสุขลักษณะหรือการเก็บรักษาที่ไม่เหมาะสมมีการปนเปื้อนเชื้อ รวมถึงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่ป่วยที่มีเชื้อแบคทีเรียนำไปสู่โรคไทฟอยด์ในเด็กค่ะ

    อาการไทฟอยด์ในเด็ก

    ไทฟอยด์จะมีระยะของการฟักตัว 1 ถึง 2 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอาการของไทฟอยด์ในช่วง 3 ถึง 4 สัปดาห์จากการรับเชื้อแบคทีเรีย โดยมีอาการของโรคดังนี้ เริ่มต้นจากมีไข้ต่ำและเพิ่มสูงขึ้นในทุกวันค่ะ ซึ่งมีไข้สูงได้ถึง 39-40 องศาเซลเซียส เด็กจะรู้สึกไม่สบายอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ไอแห้ง ปวดท้อง ปวดเมื่อยตามร่างกาย อาการปวดท้อง ท้องบวม อาจมีอาการท้องเสียหรือท้องผูก เบื่ออาหารน้ำหนักลด และมีผื่นขึ้นบริเวณหน้าท้องหรือหน้าอกค่ะ การรักษาไข้ไทฟอยด์ในเด็ก โดยทั่วไปแพทย์จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

    ภาวะแทรกซ้อนของไข้ไทฟอยด์

    หากไข้ไทฟอยด์ไม่ได้รับการรักษาซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและอาจถึงแก่ชีวิตได้ค่ะ ได้แก่ เลือดออกในลำไส้และกระเพาะอาหาร ระบบย่อยอาหารหรือลำไส้เป็นรูทะลุ โรคหลอดลมอักเสบ การอักเสบของเยื่อบุหัวใจ ตับอ่อนอักเสบ เกิดปัญหาทางจิต เช่น อาการเพ้อคลั่ง อาการประสาทหลอน เป็นต้น

    การป้องกันไทฟอยด์ในเด็ก

    การรักษาสุขอนามัยสามารถป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไข้ไทฟอยด์ได้ค่ะ ดังนั้นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดในการปกป้องเด็กจากไข้ไทฟอยด์คือ การสอนเด็กให้รู้จักการรักษาสุขอนามัย เช่น การล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำทุกครั้ง รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ใช่ช้อนกลางเมื่อต้องรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ดื่มน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย รวมถึงสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนค่ะ แต่ในปัจจุบันพบไข้ไทฟอยด์ในประเทศกำลังพัฒนาสุขอนามัยที่ไม่ดี แต่ในประเทศไทยพบได้น้อยมากๆค่ะเนื่องจากสุขอนามัยที่ดีขึ้น