ฝันร้ายเป็นปัญหาการนอนในเด็กเล็กที่พบได้บ่อยในช่วงอายุ 3 – 6 ปีหรือวัยอนุบาล เนื่องจากเด็กๆวัยนี้มีจินตนาการสูง รวมถึงในช่วงกลางวันได้รับสิ่งกระตุ้นมากเกินไป เช่น ตื่นเต้น กลัววิตกกังวล เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หรือการเล่นสนุกมากก็จะตกค้างจนทำให้ฝันร้ายได้ค่ะ ซึ่งเด็กๆมักจะไม่สามารถแยกความเป็นจริงออกจากความฝันได้และอาจคิดว่ามีบางสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นค่ะ ส่งผลให้ลูกตื่นกลางดึกนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอค่ะ
ฝันร้ายของเด็กนั้นสามารถสังเกตได้ง่ายเพราะจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อลูกฝันร้าย ได้แก่ ตกใจตื่นขึ้นมาทันที ร้องไห้หรือกรีดร้องเสียงดัง แสดงอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด อาจมีเหงื่อออกมากและหัวใจเต้นเร็ว กลัวที่จะกลับไปนอนหลับอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขากำลังนอนคนเดียว ซึ่งอาการฝันร้ายในเด็กมักเกิดในช่วงเวลาใกล้เช้าตี 4 – ตี 5 ค่ะ
เคล็ดลับช่วยลูกน้อยหลังจากฝันร้าย
วิธีที่จะช่วยให้เด็กๆสงบและกลับไปนอนหลับหลังจากฝันร้าย คุณแม่อาจใช้วิธีการปลอบโยนลูกได้ดังนี้
- ปลอบประโลมและสร้างความมั่นใจ ด้วยการกอดเขาหรือจูบเพื่อสร้างความมั่นใจว่าคุณจะไม่ปล่อยให้สิ่งเลวร้ายใดๆเกิดขึ้นกับเขาค่ะ
- เมื่อลูกกลับไปนอนต่อให้รอจนกระทั่งลูกหลับไปก่อนแล้วคุณแม่จึงกลับไปนอน เพราะเด็กส่วนใหญ่กลัวความมืดค่ะ
- การสร้างสัญลักษณ์ความปลอดภัยขณะนอนหลับ เช่น ผ้าห่ม ตุ๊กตาหรือหมอนสุดโปรดของลูก ฯลฯ
- อย่าคุยเรื่องฝันร้ายโดยตรง เมื่อลูกพูดถึงความฟันที่น่ากลัวนั้นให้ฟังอย่างตั้งใจ และลองสังเกตดูว่าลูกมีรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำหรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้คุณทราบว่าอะไรทำให้ลูกหวาดกลัวหรือวิตกกังวลค่ะ
การป้องกันฝันร้ายให้กับลูกน้อย
เคล็ดลับการปกป้องลูกน้อยจากฝันร้าน และกระตุ้นให้ฝันดีคุณแม่สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
- การอาบน้ำอุ่นสามารถช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นค่ะ
- สร้างความคุ้นเคยกับความมืด เพื่อลดความกลัวต่อสิ่งต่างๆที่อาจเห็นในความมืด เช่น เงาและแสงจากภายนอก เป็นต้น หรืออาจติดตั้งแสงสลัวเพื่อสร้างความผ่อนคลายและรู้สึกมั่นใจเมื่อหลับตา
- กิจวัตรก่อนนอนที่ผ่อนคลาย เช่น การอ่านนิทานสร้างความคิดเชิงบวกก่อนนอน เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการดูทีวีหรือการทำกิจกรรมที่น่ากลัวก่อนนอน เพราะเรื่องราวเหล่านั้นจะตกค้างในความรู้สึกของลูกและกระตุ้นฝันร้ายลูกได้ค่ะ
- สัมผัสลูกก่อนนอน เช่น การกอด การจูบ หรือการบอกฝันดี สิ่งนี้จะทำให้ลูกนอนหลับอย่างมีความสุขมากขึ้นค่ะ
ฝันร้ายในเด็กเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้และไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะดีขึ้นและเข้าใจความกลัวจากฝันร้ายเมื่อลูกโตขึ้น แต่สิ่งที่คุณแม่ต้องให้ความสำคัญมากๆคือมั่นใจว่าลูกนอนหลับเพียงพอ เพราะการนอนหลับช่วยส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการที่ดีให้กับลูกของคุณค่ะ