คนท้องเป็นอีสุกอีใส อันตรายต่อเด็กในท้องหรือไม่

คนท้องเป็นอีสุกอีใส

โรคอีสุกอีใสเกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella virur) ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป คือ มีไข้ อ่อนเพลีย และมีผื่นแดงราบตุ่มน้ำใส หรือตุ่มหนองขึ้นตามใบหน้า ลำตัว ฟลัง และสามารถติดต่อกันได้ง่าย โดยการสัมผัสกับตุ่มน้ำที่แตกออก การใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกัน หรือการหายใจ ไอจามรดกัน เชื้อนี้จะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 สัปดาห์จนเกิดอาการ ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการรักษา โรคสามารถหายไปได้เองใน 7-10 วัน

คนท้องเป็นโรคอีสุกอีใส คงไม่ใช่เรื่องดี ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการได้รับเชื้อจากคนใกล้ตัว เช่น ญาติพี่น้อง หรือติดจากลูกคนแรกที่คุณแม่กำลังเลี้ยงอยู่ โดยไร้การป้องกันแต่อย่างใด เพราะไม่เคยเป็นมาก่อน จึงทำให้คุณแม่มีความกังวลว่าจะมีผลต่อลูกที่อยู่ในท้องหรือไม่ ในครั้งนี้เรามาค้นหาคำตอบกันค่ะ

ความอันตรายของคนท้องที่เป็นโรคอีสุกอีใส

ความอันตรายของคนท้องที่เป็นโรคอีสุกอีใส

ในช่วงตั้งครรภ์ร่างกายจะมีภูมิต้านทานที่ต่ำลง ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายและมีความรุนแรงมากขึ้น ถ้ามีการติดเชื้อในช่วงตั้งครรภ์ จะทำให้เด็กในท้องมีความเสี่ยง โดยปกติแล้วหากช่วงท้องเป็นอีกสุกอีใส มักจะเป็นในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ และช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคุณแม่คลอดเนื่องจากระบบภูมิต้านทานของคนท้องจะลดลงกว่าปกติ เป็นเหตุทำให้คนท้องมีโอกาสติดเชื้อต่างๆได้ง่าย

หากมีการติดเชื้อโรคอีสุกอีใสในภายใน 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กในครรภ์อยู่ในระหว่างการสร้างอวัยวะ ซึงหากคุณแม่ได้รับเชื้ออีสุกอีใส อาจทำให้เกิดความผิดปกติของเด็กในครรภ์ หรือเรียกว่า Congenital varicella syndrome โดยเด็กที่อยู่ในครรภ์เกิดความผิดปกติบริเวณผิวหนัง หรือไม่ก็แขนขาลีบเล็ก สมองมีปัญหา เช่น ปัญหาอ่อน สมองฝ่อ สมองอักเสบ เป็นต้น หรือเด็กก็จะมีอาการชัก เป็นอัมพาต มีความผิดปกติทางสายตา เช่น เป็นต่อกระจก หรือไม่อาจส่งผลให้คุณแม่ต้องคลอดเด็กก่อนกำหนด ซึ่งโดยทั่วไปเด็กทารกที่ติดเชื้ออีสุกอีใสจะเสียชีวิตในช่วง 2 ปีแรก หรือไม่เด็กอาจเกิดมาแบบปกติ และเมื่อเข้าสู่อายุ 1 ขวบ ก็เริ่มแสดงอาการงูสวัดออกมา

หากมีการติดเชื้อโรคอีสุกอีใสในช่วงที่ใกล้คลอด คือช่วง 7 วันก่อนคลอดไปถึงอีก 7 วันหลังคลอด อาจทำให้มีอาการหายใจล้มเหลว ปอดบวม ปอดอักเสบ ส่งผมทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งแม่และลูก แต่ในปัจจุบันก็มียาต้านเชื้อไวรัสอีสุกอีใสได้แล้ว แต่ยังคงมีราคาสูง และค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงมากเช่นกัน ดังนั้นเพื่อลดความเสียงของโรค และเสี่ยงที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ ควรทำการเลื่อนการคลอดออกไป อย่างน้อย 7 วัน หลังจากที่คุณแม่เป็นผื่น เพื่อเป็นการส่งภูมิคุ้มกันไปยังลูก แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจจากแพทย์เท่านั้น

การรักษาคนท้องเป็นอีสุกอีใส

การรักษาคนท้องเป็นอีสุกอีใส

หากคุณแม่ได้ทำการตรวจวินิจฉัยจากหมอแล้วระบุว่าคุณแม่เป็นอีสุกอีใส แต่เชื้อยังไม่ได้ส่งไปยังทารกที่อยู่ในครรภ์แล้ว คุณหมอจะทำการรักษาไปตามอาการของคุณแม่ เช่นหากคุณแม่เป็นไข้ ก็ให้ยาลดไข้ หากคุณแม่อ่อนเพลีย ก็ให้ดื่มน้ำในปริมาณที่มากเพียงพอ และให้คุณแม่ได้นอนหลับพักผ่อน หรือในบางรายอาจได้รับน้ำเกลือช่วย เพื่อให้คุณแม่มีอาการสดชื่น และในระหว่างนี้ก็จะทำการเฝ้าระวังไม่ให้คุณแม่ไปแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

แต่สำหรับคุณแม่บางรายตรวจพบว่าเป็นอีสุกอีใส แล้วมีการตรวจพบว่าเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์ได้รับเชื้อเช่นกัน ทางเดียวที่จะรักษาคือ คุณแม่จะต้องยุดิการตั้งครรภ์เพื่อรักษาชีวิตของคุณแม่เอาไว้

การป้องกันคนท้องเป็นอีสุกอีใส

  • สำหรับคนแม่ที่ทำการตั้งครรภ์ แต่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส หรือได้รับการตรวจเลือดแล้วยังไม่มีภูมิคุ้มกัน จะให้หลีกเลี่ยงผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใส และควรรีบไปพบแพทย์ หากใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นอีสุกอีใส
  • คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ ไม่ควรไปรับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส เพราะมีความเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อคุณแม่และเด็กในครรภ์
  • สำหรับคุณแม่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส และอยากวางแผนการมีลูก ควรต้องไปรับวัคซีนการป้องกันโรคอีสุกอีใสก่อน โดยการฉีดวัคซีนดังกล่าวสำหรับผู้ใหญ่จะต้องทำการฉีดเป็นจำนวน 2 เข็ม โดยเข็มที่ 1 กับเข็มที่ 2 จะมีระยะห่างประมาณ 1 เดือน และเมื่อได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วก็ควรเว้นระยะออกไป 1-3 เดือน ก่อนที่จะทำการตั้งครรภ์
  • คุณแม่ไม่จำเป็นต้องตรวจภูมิคุ้มกัน หากมีการตรวจไม่พบภูมิคุ้มกัน ก็ควรไปฉีดวัคซีนหลังมีบุตรไปแล้ว
  • การให้วัคซีนหลังคลอดนั้น คุณแม่สามารถให้นมบุตรได้

การดูแลคุณแม่ที่เป็นโรคอีสุกอีใสระหว่างการตั้งครรภ์

  • ควรดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ตัดเล็มมือ เล็บเท้าให้สั้น ป้องกันการเกาผื่นที่มาจากโรคอีสุกอีใส และป้องกันการติดเชื้อ
  • หารมีไข้สูงควรกินยาลดไข้ และใช้น้ำชุมเช็ดตัวร่วมด้วย
  • หารอดทนต่ออาการคันไม่ไหวควรทาคาลาไมน์เพื่อบรรเทาอาการคัน หากซื้อยาแก้แพ้มากินเอง ควรต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์เสียก่อน
  • ควรหาสบู่ที่มีส่วนผสมยาฆ่าเชื้อมาอาบน้ำ ชำระร่างกาย
  • หากสำหรับคุณแม่ที่มีอาการหนัก ควรรีบปรึกษาแพทย์
  • สำหรับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป ควรหมั่นนับการดิ้นของลูก และการดิ้นของลูกน้อยกว่าปกติควรรีบไปแพทย์วินิจฉัยโดยทันที

บทความที่เกี่ยวข้อง

Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *