สำหรับคนท้องแล้วการเดินทางต่างๆย่อมเป็นเรื่องยาก เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อเด็กในท้องได้ โดยเฉพาะช่วง 4 เดือนแรกที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะครรภ์ยังไม่แข็งแรงเสี่ยงอาการแท้งลูก ได้ทุกเมื่อ แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถเดินทางไปไหนได้เลยสะทีเดียว ในครั้งนี้เรามีเคล็ดลับคนท้อง จะเดินทางอย่างไรให้ปลอดภัย
เมื่อคุณแม่มีความจำเป็นที่ต้องเดินทาง อย่างแรกที่คุณแม่ต้องทำคือ หยุดความวิตกกังวัลและเข้าใจสะใหม่ว่าการตั้งครรภ์ไม่ใช่การป่วย หากคุณหมอไม่ได้สั่งให้เดินทางหรือต้องระวังเป็นพิเศษ คุณแม่ก็สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ แต่ก็จำเป็นต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวมากกว่าคนอื่นมากกว่าคนอื่นทั้งก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง และหลังการเดินทาง จำเป็นต้องมีการวางแผนเพื่อความปลอดภัยทั้งตัวคุณแม่เองและเด็กที่อยู่ในครรภ์
คนท้องแบบไหนไม่ควรเดินทาง
จะมีคนท้องในบางคนที่คุณหมอจะแนะนำว่าไม่ควรเดินทางเพราะเพื่อความปลอดภัยทั้งตัวคุณแม่และเด็กในท้อง ซึ่งจะมีลักษณะ ดังนี้
คุณแม่ที่คาดว่าจะตั้งครรภ์เป็นลูกแฝด คุณแม่ที่เคยที่ประวัติการแท้งลูกมาก่อน คาดว่าอาจคลอดก่อนกำหนด มีความดันโลหิตสูง เป็นเสี่ยงที่เป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหากคุณแม่ที่มีความเสี่ยงดังกล่าว ไม่ควรที่จะเดินทางอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเดินทางในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เพราะคุณแม่จะมีความเสี่ยงที่จะแท้งลูกได้ และอาจมีอาการเพลียที่ผลมาจากการแพ้ท้อง และอีกช่วงที่ไม่ควรเดินทางคือช่วง 3 เดือนหลังก่อนการคลอด เพราะอาจทำให้คุณแม่มีความเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนด และมีความเสี่ยงที่จะมีความดันโลหิตสูง
คนท้องเดินทางแบบไหนที่มีความปลอดภัย
ในการเดินทางของคนท้องในแต่ละแบบจะมีความเสี่ยงที่มีความแตกต่างกัน เช่น บางประเภทเดินทางแล้วส่งผลให้คุณแม่มีอาการเหนื่อยล้า หรือมีความเสี่ยงต่อการกระเทือน เป็นต้น ดังนั้นหากมีความจำเป็นต้องเดินทาง ควรขอรับคำแนะนำจากคุณหมอผู้เชียวชาญเพื่อเดินทางได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม
การเดินทางสำหรับคนท้องที่ปลอดภัยมีด้วยกัน 4 แบบ ดังนี้
การเดินทางด้วยรถยนต์
การที่คุณแม่ที่กำลังครรภ์ต้องเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว สิ่งที่ควรรู้ คนท้องขับรถ เองได้ ไม่ได้เป็นอันตรายต่อเด็กในท้อง แต่แค่คุณแม่ควรระมังระวังเป็นพิเศษ เพราะเนื่องจากคนท้องจะมีอาการอ่อนเพลียง่าย และสามารถเป็นตะคริวได้ทุกเมื่อ หากเริ่มมีอาการควรจอดแวะพักสักครู่ ออกมายืดเส้นยืดสายนอกรถ เปลี่ยนกริยาบถ เป็นระยะ หรือถึงแม้คุณแม่เป็นเพียงผู้นั่งก็ตามก็ควรจอดแวะพักเป็นระยะเช่นกัน และที่สำคัญจะลืมไม่ได้ ควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง โดยปรับตำแหน่งของสายคาดมาอยู่บริเวณหน้าท้องเล็กน้อยเพื่อความสะดวกสบาย
การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ
ขนส่งสาธารณมีหลายแบบ ทั้งรถแท๊กซี่ รถเมล์ รถไฟ เป็นต้น สำหรับการนั่งรถแท๊กซี่ก็จะเป็นลักษณะเดียวกับหัวข้อด้านบน แต่สำหรับการโดยสารรถเมล์หรือรถไฟ หากคุณกำลังท้องอย่าได้ลังเลที่จะขอที่นั่งเพราะเป็นสิทธิที่คนท้องทุกคนพึงมี แต่คำแนะนำหากคุณแม่ที่ตั้งครรภ์เข้าสู่ 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอดแล้วควรหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ หรือหากจำเป็นก็ควรวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน
การเดินทางด้วยรถไฟ
สำหรับคนท้องการเดินทางด้วยไฟจะช่วยให้คุณแม่เหนื่อยน้อยที่สุด ซึ่งหากคุณแม่ต้องเดินทางด้วยรถไฟ ควรเลือกแบบ First class เพราะจะอำนวยความสะดวกสบายกว่า และมีพื่นที่ให้คุณแม่เปลี่ยนกริยาบถได้ง่าย
การเดินทางด้วยเครื่องบิน
หากคุณแม่ไม่มีความเสี่ยงที่ต้องห้ามเดินทาง คุณแม่ก็สามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้ ซึ่งคำแนะนำคือระหว่างการเดินทางด้วยเครื่องบินให้คุณแม่ดื่มน้ำบ่อยๆ จะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลาย และคุณแม่สามารถใช้ถุงน่องซัพพอร์ช่วยด้วยอีกทาง แต่ส่วนมากคุณแม่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 7 เดือนขึ้นไป สายการบินต่างๆมักจะไม่อนุญาตให้เดินทางไปด้วย เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณแม่และลูกของคุณแม่
คำแนะนำการเดินทางท่องเที่ยวในที่ห่างไกลสำหรับคนท้อง
ก่อนที่คุณแม่จะจองตั๋วท่องเที่ยว ก่อนอื่นคุณแม่ควรไปปรึกษาคุณหมอก่อน เพื่อได้รับคำแนะนำให้การที่จะวางแผนท้องเที่ยวอย่างถูกต้อง การเดินทางท่องเที่ยวในที่ห่างไกลสำหรับคนท้องอย่างถูกมี ดังนี้
หลีกเลี่ยงเดินทางไปในสถานที่ที่ท่องเที่ยวที่ให้บริการทางการแพทย์ และสุขอนามัยที่ยังไม่พร้อม หลีดเลี่ยงเดินทางไปในพื้นที่ที่มีโรคบางชนิดระบาดชุกชม เช่น โรคไข้มาลาเรีย ไข้เหลือง เป็นต้น หรือไปในประเทศที่มีอาการร้อนมากๆ เนื่องจากปกติหมอไม่สามารถให้วัคซีนป้องกันโรคต่างๆ กับคนท้องได้ แต่หากมีความจำเป็นต้องไปในพื้นที่นั้นๆ ก่อนไปควรได้รับคำปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีป้องกัน ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ สะอาด และเลือกเครื่องดื่มที่สะอาด ปราศจากเชื้อ เท่านั้น ควรหลีกเลี่ยงไปในที่แดดจัดๆ เพื่อป้องกันจากสัตว์ที่เป็นพาหนะนำโรค ก่อนการเดินทางควรมีการวางแผนศึกษาข้อมูลเกี่ยวสถานพยาบาลที่มีความพร้อมรองรับเหตุไม่คาดฝัน และเตรียมข้อมูลทางการแพทย์ส่วนตัวของคุณแม่เตรียมเอาไว้ด้วย
เพียงเท่านี้หากคุณแม่ปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าว ก็สามารถจะเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างสุขใจ
บทความที่เกี่ยวข้อง